ทริปไทยสู่วังเวียงถึงนครหลวงเวียงจันทน์(ตอนที่ 4 สะพานสีส้ม ถ้ำจัง )


ດີຕອນເຊົ້າ สบายดีตอนเซ้า วันศุกร์ที่ 20. ตุลาคม 2560. 

เช้านี้ทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่พัก เวลา 08.00 น. ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางไปเที่ยวถ้ำจัง  ซึ่งห่างจากตัวเมืองวังเวียงประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวกันมาก เนื่องจากสามารถมองเห็นวิวมุมสูงของเมืองวังเวียงได้อย่างสวยงาม และสะพานแขวนสีส้มที่ตั้งเพื่อใช้ผ่านลำน้ำซอง(Song River)ที่เป็นสัญลักษณ์ของการมาถ้ำจังที่นักท่องเที่ยวต่างแวะถ่ายรูป  การเดินทาง  จากเมืองวังเวียงจะเดินทางไปถ้ำจังต้องข้ามแม่น้ำซองจุดตรงสะพานสีส้ม 

แม่น้ำซอง (Song River)

สะพานแขวนสีส้ม

เมื่อข้ามสะพานไปแล้วเลี้ยวซ้ายอีก 200 เมตร ก็จะพบกับบันไดขึ้นถ้ำจัง  บริเวณสะพานส้มนั้นจะมีร้านค้าของชาวบ้านมาตั้งขาย น้ำผึ้งป่า สารพัดผึ้งและของกินเล็กๆน้อยๆด้วย พอเดินเข้าไปอีกนิดก็จะเจอร้านค้าที่มีอาหารขาย ซื้อน้ำได้ที่ร้านนี้

เดินต่อเข้าไปอีกหน่อยก็จะถึงแแล้ว เป็นที่ตั้งของทางขึ้นถ้ำจัง ตรงนี้จ่ายค่าผ่านประตูสำหรับชาวต่างชาติ 15,000กีบ (60บาท) เรียบร้อยก็ขึ้นได้เลย มีบันไดทำเป็นทางขึ้นสูงทีเดียว

 ถึงแล้ว เราขึ้นมาขึ้นมาถึงด้านบนก็มาเห็นคำว่า "บันได 147ขั้น" เท่ากับที่เราเดินนับเป๊ะ จุดนี้ที่หน้าปากถ้ำสามารถมองเห็นวิวเมืองวังเวียงได้สวยงาม เห็นลำน้ำซองไหลผ่าน  เราเป็นผู้สูงอายุข้าราชการบำนาญ  สามารถขึ้นบันได 147 ขั้นได้ ถือว่าร่างกายและจิตใจ "ผ่านค่ะ"

 เมื่อเราเข้าไปในถ้ำจะพบความหนาวมหัศจรรย์ของถ้ำจัง สมชื่อจังจริงๆ  คำว่า "จัง" ในที่นี้เขาบอกว่าหมายถึง หนาวเย็นจนตัวสั่นอาการ"จัง" นั้นเอง พอเราได้มายืนหน้าปากทางเข้าถ้ำต้องขอบอกว่า จริง ในถ้ำมีหนาวเย็นมาก เป็นถ้ำที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเย็นแบบที่ไม่เคยเที่ยวถ้ำที่ไหนมาก่อน ยิ่งเราเดินเข้าไปด้านในยิ่งเย็น คำว่าถ้ำจัง มีความหมายอีกอย่างหนึ่งด้วยคือ ในสมัยศตวรรษที่19 ถ้ำนี้ถูกใช้เพื่อเป็นที่หลบซ้อนการปล้นสะดมของชาวจีนฮ่อ คำว่า "จัง" ในที่นี่จึงมีความหมายว่า "อดทน" กลายเป็นชื่อถ้ำ มาดูบริเวณส่วนแรกของถ้ำก่อน เพราะเราไปสะดุดตากับเจ้าเครื่องปริ้นรูปที่ติดตั้งอยู่ภายในถ้ำ ไม่รู้ว่าคนดูแลเค้าเอาไว้ถ่ายรุปให้นักท่องเที่ยวแล้วปริ้นภาพเลยหรือว่าให้เราใช้แล้วจ่ายเงินเอาเองก็ไม่รู้ แต่ช่างเถอะไม่ใช้ประเด็น เราเดินเข้าไปดูในถ้ำดีกว่า จากจุดนี้ จะมีทางให้เราเลือกเดิน 2ทาง ซ้ายและขวา เราเดินไปทางขวากันก่อน เดี๋ยวค่อยย้อนกลับเที่ยวอีกทางเมื่อเราเดินเข้าไปเรื่อยๆในทางขวาเราจะยิ่งรู้สึกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเราคงจะได้เห็นคำตอบว่าเขาเปิดแอร์ไว้จริงหรือเปล่า หรือมันเย็นเพราะอะไร ทั้งที่อากาศภายนอกร้อนมาก แต่ในถ้ำเย็นสบาย ตลอดทางเดิน จะมีแสงไฟเปิดให้ความสว่างตลอดทาง แสงสว่างพองามครับ ไม่มากไม่น้อยเดินไป บางจุดเห็นหินงอกหินย้อยที่เป็นประกายสวยงามมาก ส่วนทางเดินก็สะดวกสบายครับ ทำเป็นทางปูนไว้เป็นสัดส่วน เมื่อเราเดินไปสุดทาง เราแต่เพียงความเย็นที่มากขึ้น และป้ายที่บอกเราว่า เดินต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่มีทางเดินที่ทำต่อไปอีก ยิ่งสงสัยในความลับนี้จริงๆ ว่าเย็นได้ไง จากจุดนี้ไปไม่ไกลก็จะเป็นทางออกไปที่หน้าผาอีกฝาก ซึ่งไม่มีทางลง แต่จะเป็นจุดชมวิวที่สวยจุดหนึ่ง

ออกจากถ้ำมาเพื่องลงบันไดอีก 147 ขั้น  การลงยากกว่าการไต่ขึ้น  กลัวจะคะมำตีลังกา ต้องค่อย ๆไต่ลงอย่างระมัดระวัง

147+147 = 294 (ขึ้น/ลง)  สรุปว่าร่างกายและหัวใจยังแข็งแรง  ลงจากถ้ามาเชิงบันไดจะมีพระพุทธรูปให้บูชา  หลายคนแวะเข้าไปกราบไหว้และบูชา   จากนั้นก็เดินข้ามสะพานส้มกลับไปขึ้นรถบัส  เพื่อไปเที่ยวตลาดปลาค่ะ ....ตามไปค่ะไปดุตลาดปลาน้ำจืดที่เขาแปรรูปมาขายนักท่องเที่ยวกันดีกว่า  เผื่อจะได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านเราบ้าง

ออกจากถ้ำจัง...ระหว่างทางแวะตลาดปลา ที่นี่มีการแปรรูปเป็นปลาน้ำจืดที่ได้จากแม่น้ำงึม เช่นปลากราย. ปลาชะโด. ปลาคัง. ปลาเล็กปลาน้อย. ฯลฯ ที่นี่เป็นหมู่บ้านชนบทมีความเป็นอยู่อย่างชนบทเรียกว่าหมู่บ้านหินเห็บและหมู่บ้านตลาดปลา  และมีการทำปลาเป็นอาชีพหลัก

เลือกได้ปลาตัวเล็ก ปลาส้มเป็นตัว ๆ และปลาส้มปลากรายเป็นก้อน ๆ จากนั้นกลับขึ้นรถเพื่อไปล่องเรือทานมื้อกลางวันที่อ่างเก็บน้ำงึมค่ะ

หมายเลขบันทึก: 639698เขียนเมื่อ 25 ตุลาคม 2017 11:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 ตุลาคม 2017 18:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท