เดินทางไปรับพระพุทธรูป จากเมืองมัณฑะเลย์ ที่เกาะสอง



              วันที่ 21 เดือน สิงหาคม  พ.ศ. 2557  อีกหนึ่งภาระกิจที่สำคัญ นั่นก็คือ..การเดินทางไปรับพระพุทธรูปจากเมืองมัณฑะเลย์ ที่เกาะสอง  ประเทศพม่า  เนื่องจากเวลางวดเข้ามาทุก ๆ วัน องค์เจดีย์ใกล้สมบูรณ์ ซึ่งคาดว่าประมาณ ปลาย ปี  พ.ศ. 2557 ก็น่าจะแล้วเสร็จ คณะกรรมการสร้างเจดีย์ทั้งหมด  ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมาย ตั้งแต่เริ่มต้น พวกเรามีเงินสร้างเจดีย์เพียงไม่กี่หมื่นบาท  แต่ตลอดระยะเวลาการสร้างเจดีย์เราไม่เคยขัดสนเรื่องเงินในการก่อสร้างเลย  เมื่อเงินเหลือน้อย ก็หาเพิ่มเข้ามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ  จากที่คิดว่า การสร้างเจดีย์ในครั้งนี้ พวกเราคงเหนื่อยกันอีกนาน  ซึ่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ใจมาก

งานก่อสร้างดำเนินต่อไปโดยไม่มีเหตุหยุดชะงัก  ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาร่วมในงานบุญครั้งนี้ไม่ขาดสาย  หลายต่อหลายครั้งที่คณะกรรมการจัดงานบุญขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเชิญพระนักเทศน์ มาอบรมธรรม และเทศนา  การเดินทางออกรับเงินบริจาคตามจังหวัดใกล้เคียงของสุราษฎร์ธานี เช่น ชุมพร  ระนอง  นครศรีธรรมราช  เป็นต้น  หลาย ๆ ครั้ง ผู้เขียนจะร่วมนำคณะกรรมการเหล่านี้ ออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวของผู้เขียนเองเสมอ 

                ภาระกิจ การเดินทางไปในครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดไว้แต่แรก นั่นก็คือ  การทำหนังสือจากพระเดชพระคุณ  พระราชไพศาลมุนี ซึ่งท่านเป็นพระเจ้าอาวาสวัดที่สร้างเจดีย์  และเป็นพระผู้ใหญ่ของจังหวัด  หนังสือฉบับนี้จะเป็นใบเบิกทางให้พวกเรา  เวลาพวกเรามีปัญหาในการขนย้าย พระพุทธรูปที่มีค่าหลายสิบองค์ ที่เรานำเข้ามาจากประเทศพม่าได้ (นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนคิดไว้)  นั่นเพราะพวกเราเป็นแค่เพียงคนธรรมดา  เราไม่มีปากมีเสียงที่จะทำอะไรได้มากมายนัก  แม้นแต่ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน  เราก็เป็นเพียงข้าราชการตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น  หากมีเรื่องที่จำเป็นสิ่งนี้แหละ จะช่วยคุ้มครอง พวกเราได้บ้าง(นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้เขียนคิดถึง )

                วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2560 คณะพวกเราออกเดินทางกันแต่เช้ามืด  เพราะต้องการให้ถึง จังหวัดระนอง ทันเรือยนต์ไปเกาะสอง เที่ยว แรก ๆ  ภาระกิจที่จะต้องเจอ และคาดว่าจะต้องเจอ กำลังรอเราอยู่

                ทำไมผู้เขียนถึงคิดเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะว่า การขนย้ายพระพุทธรูปที่มีค่าจากเมืองมัณฑะเลย์ เข้ามาเมืองไทย อาจไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คณะกรรมการคนพม่าคิด  พวกเค้ามองเห็นว่า...ใจนั้นสำคัญที่สุด  ใจที่บริสุทธ์ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใด  นอกจากเรื่องบุญเรื่องกุศลอย่างเดียว  แต่สำหรับผู้เขียนคิด(เพียงแค่คิด เพราะหากกลัวที่จะไปเอาแล้ว เราอาจเสียโอกาส งานก่อสร้างรอบสุดท้ายที่พวกเราหวังไว้  มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง  มันต้องล่าช้าออกไป)

                คณะของเราไปกันประมาณ 4-5  คน  รถยนต์วิ่งถึงท่าเทียบเรือ จังหวัดระนอง ซึ่งเป็นท่าเทียบเรือที่จะต้องเดินทางต่อไปยังเกาะสอง  ประเทศพม่า  ผู้เขียน กับ นายวิน ทุน อู  เป็นตัวแทนของคณะเราเดินทางไปเกาะสองพร้อมกัน เพื่อพบกับพระทนดาละ และพระป๊อบปาลามมะ ที่ได้เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้ว... หลายวัน   พระทั้งสองรูปนั้นท่านเดินทางไปที่เมืองมัณฑะเลย์ เพื่อนำพระพุทธรูปหินหยกขาว ขนเคลื่อนย้ายมาไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง ของเกาะสอง ประเทศพม่า

                เมื่อเราได้พบกันกับพระทั้งสองรูป เราได้พูดคุยกันถึงความถูกต้อง ทางกฎหมาย  พระท่านบอกว่า ทุกอย่างถูกต้องครบถ้วนหมด  มีใบสำคัญการซื้อขาย มีใบเสร็จรับเงิน เป็นเอกสารสำคัญที่คาดว่าน่าจะนำเข้าประทศไทยได้ โดยไม่ถูกยึดหรือถูกจับ

ตัวผู้เขียนเองก็เชื่อมั่นเช่นนั้น....  แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนครุ่นคิดมาตลอดทาง ที่เดินทางมารับพระพุทธรูป..นั่นก็คือ  เราเองต่างหากที่ไม่ได้ทำเรื่องแจ้งขออนุญาตนำเข้า พระพุทธรูปที่มีค่าเหล่านี้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบของเมืองไทยให้เขารับทราบ เพื่ออนุญาตให้นำเข้ามาได้ .. ไม่ว่าจะเป็น สำนักพระพุทธศาสนา  กระทรวงวัฒนธรรม หรือ กรมศุลกากร เองก็ตาม ซึ่งที่กล่าวมานี้ คาดว่าน่าจะเป็นหน่วยงานที่เราต้องเข้าไปขออนุญาตในเรื่องนี้

               

                ใจคิดไปเรื่อย.. จะผ่านมั้ยเนี่ย!! สิ่งนี้เองทำให้รู้สึกว่า..การคิดถึง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกป้อง  คุ้มครองรักษาพวกเรา จึงเป็นทางออกที่คิดได้ ณ ตอนนั้น  มือหนึ่งพยายามจับจดหมายฉบับที่เขียนออกมาจากพระคุณเจ้า คลำมันบ่อย ๆ  เพราะกลัวหาย เพราะนี่แหละคือ...ใบเบิกทางชิ้นสำคัญ

การเดินทางออกนอกประเทศไทย เพื่อไปเกาะสอง เพียงแค่ใช้บัตรประจำตัวประชาชน เป็นใบผ่านทาง ใบเดียว         เสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อย    แต่ขากลับจากเกาะสองซิ!!เป็นเรื่องใหญ่!!  เพราะสิ่งที่เรานำกลับมาด้วยเต็มลำเรือ ...นั่นคือพระพุทธรูปประมาณ 15-20 องค์ ที่มีขนาดหน้าตักกว้าง ซักประมาณ 14 นิ้ว และระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่อีก 1 ใบ  

                

                 คณะของเรารอเวลาเดินทางกลับเมืองไทย ในช่วงบ่าย ผู้เขียนจึงมีโอกาสได้ไปเที่ยวชม  ตลาด สถานที่ท่องเที่ยว และวัดที่ขึ้นชื่อของเกาะสอง  โดยมีกรรมการสร้างเจดีย์  นาย วิน ทุน อู ที่มาด้วยกัน เป็นผู้นำเที่ยว

                 ช่วงบ่าย เมื่อได้เวลาเดินทางกลับ คณะของเราเดินทางกลับโดย บรรทุกพระพุทธรูป และระฆัง มาจนเต็มลำเรือ เรือออกจากท่าเรือที่เกาะสอง เดินทางกลับเส้นทางเดิม ที่ต้องผ่านตรวจทั้งของพม่าและของไทย  ณ จุดพักตรวจด่านแรกจากพม่า มิได้มีการตรวจค้น เพียงแค่การหยุดเพื่อตีตราอะไรบางอย่าง โดยผู้เขียนมิได้ติดใจอะไร เนื่องจากเป็นภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ  แต่เมื่อมาถึงด่านของประเทศไทย ก่อนเข้าน่านน้ำไทย ผู้เขียนถูกเรียกให้ขึ้นท่า เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากร ใจก็คิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่า...ต้องเจอ  แล้วมันก็เจอจริง ๆ

                เจ้าหน้าที่ท่านนั้น เรียกผู้เขียนไปพูดคุย   ด้วยความพร้อมที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องพูด  สิ่งแรกก็คือ การบอกถึงวัตถุ สิ่งของที่นำมากับเรือลำนี้  ผู้เขียนบอกไปว่า....เป็นพระพุทธรูป จำนวน 12-15 องค์ และระฆังทองเหลืองอีก 1 ใบ  พร้อมกับยื่นเอกสารให้ดูว่า มีใบเสร็จการซื้อ-ขายถูกต้อง  แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ท่านนี้ตอบกลับมา ก็คือ การขอดูเอกสารขออนุญาตนำเข้าพระพุทธรูป และระฆัง ที่บรรทุกมานี้หน่อย 

ผู้เขียน ไม่ตอบ  แต่ได้พูดกลับไปว่า  “ท่านครับ ผมกับลูกน้องชาวพม่า มารับพระพุทธรูปเหล่านี้ไป ประดิษฐานไว้ที่วัดโมกขธรรมาราม จ.สุราษฎร์ธานี  ซึ่งเป็นวัดที่ผมและลูกน้องชาวพม่าได้ร่วมกันสร้างให้กับวัดแห่งนี้ เป็นพุทธบูชา  และที่พึ่งทางใจของพุทธศาสนิกชนครับ  ผมไม่มีหนังสือขออนุญาตอย่างเป็นทางการหรอกนะครับ” ..”ผมมีเพียงแต่ หนังสือ ขอความอนุเคราะห์ให้ความสะดวกในการขนย้ายพระพุทธรูปจากเจ้าคุณ เจ้าคณะจังหวัดสุราษฏร์ธานี”

เมื่อผู้เขียนพูดเสร็จ ก็ยื่นเอกสารฉบับนั้น ให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรอ่าน    เขาอ่านเสร็จแล้ว ก็นิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วได้พูดขึ้นมาว่า  “จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้หรอกนะครับ  คุณต้องดำเนินการตามขั้นตอน  มันผิดกฏหมาย”   

ผู้เขียนรู้อยู่ในใจก่อนจะออกเดินทางจากวัดมาแล้วละ...แต่การมาครั้งนี้ ผมเขียนอยากพิสูจน์ อะไรบางอย่าง...ความศรัทธา อานิสงส์แห่งบุญ หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม   และหากมีเหตุการณ์ที่มาขวางกั้นเรา มิให้เราผ่านไปได้ เราก็ต้องยอมรับมัน ..นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนคิดมาตลอด

                และแล้วก็ เหมือนมีอะไรดลใจบางอย่างเกิดขึ้น กับ เจ้าหน้าที่ศุลกากรท่านนี้  น้ำเสียงของท่านฟังดูอ่อนโยนขึ้น  เขาพูดขึ้นว่า  “เอาละครับ ผมขอร่วมอนุโมทนาบุญกุศลที่คุณกับลูกน้องของคุณ ได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ให้กับวัดแห่งนี้ด้วย ก็แล้วกันนะครับ”   คำพูดที่ผู้เขียนได้ยิน มันเย็นใส ชื่นใจ จนต้องเรียก นาย วิน ทุน อู ที่ยืนรออยู่บริเวณท่าน้ำ ให้เดินขึ้นมา ขอบพระคุณ เจ้าหน้าที่ศุลกากรท่านนี้  พร้อมกับผู้เขียน

                ก่อนกลับ ผู้เขียน ขอทราบชื่อ ของท่าน  และท่านก็ยินดี  เราจึงมีโอกาสได้ถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกว่า  ครั้งหนึ่ง บุคคลท่านนี้แหละ!! ที่ร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้เขียนและคณะ   ชื่อของท่าน คือ  “ คุณพงษ์ศักดิ์  ขำงาม” ท่านประจำอยู่ที่ด่านศุลกากร จังหวัดระนอง.....ซึ่งผู้เขียนต้องขอกราบขอบพระคุณ ในความเอื้ออาทร ความมีไมตรีจิตของท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ

สุดท้าย คณะของเรา ก็นำเรือเทียบฝั่งไทย ที่ระนองได้โดยสวัสดิภาพ  (คณะของผู้เขียนที่รออยู่ที่ ท่าเทียบเรือระนองจะรู้มั้ยครับว่า...พระพุทธรูปท่านเกือบจะไม่ได้มากับเราเสียแล้ว...มันช่างเป็นบุญ เป็นกุศลของพวกเราเสียจริง ๆ


                   


หมายเลขบันทึก: 638059เขียนเมื่อ 29 กันยายน 2017 00:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 กันยายน 2017 18:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เคยได้ยิน..ว่าห้าม..นำออก..พระพุทธรูปเก่าที่ถูกขโมยส่วนใหญ่..และนำออก.."..แต่..นำเข้า..ไม่เคยได้..ยิน..ว่าผิด..สภานใด..และการนำไป..เคารพ..บูชา..ด้วยแล้วละก็..สมควรเป็นอย่างยิ่ง..กับ..การ..อนุโมทนา..สาธุ..มาด้วย..ณ.ที่นี้..

ขออนุโมทนาสาธด้วยครับ

พระงดงามมากๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท