ผมทำเรื่องนี้มาหลายปี..จึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า “การอ่าน คิด วิเคราะห์..จะสำเร็จได้ ก็เพราะ”ครู” ที่โรงเรียนไม่มีปัญหาเด็กอ่านไม่คล่อง หรืออ่านไม่ได้ แต่ปัญหาที่พบก็คือ..อ่านแล้ววิเคราะห์ไม่เป็น..จับประเด็นไม่ถูก...
นำเรื่องนี้มาเขียน ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จแล้ว..ยังต้องดำเนินการต่อไป และแน่ใจว่า..งานนี้ต้องใช้เวลา ทำในทุกระดับชั้น และทำอย่างต่อเนื่อง..อย่างไม่มีเงื่อนไข..
เมื่อหลายปีก่อน..การอ่าน คิด วิเคราะห์ ยังไม่ได้พูดถึงในวงกว้าง..ต่อมานโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดไว้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว ที่จะกำกับ ติดตามและประเมินผลให้เด็กไทยทุกคนอ่านคล่องเขียนคล่อง เมื่อจบ ป.๓....
ส่วนการอ่าน คิด วิเคราะห์..เริ่มอย่างเข้มข้นตั้งแต่ชั้น ป.๔ แต่ละปีที่เคยทดสอบการอ่านฯจากเครื่องมือของ สพฐ.ศธ.ปีละ ๑- ๒ ครั้ง...แต่ปีการศึกษานี้กำหนดการประเมินถึง ๔ ครั้ง...จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว
ผมบอกนักเรียนชั้น ป.๖ ที่ผมสอนมาตลอดว่า..การอ่านเป็นทักษะ..ต้องค่อยๆฝึกและศึกษาเรียนรู้ นอกจากจะเกิดประโยชน์ต่อการทดสอบระดับชาติโอเน็ตแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เรียนรู้ตลอดชีวิต..
ปัญหาระดับชาติ..ณ ตอนนี้ นอกจากเด็กไทยอ่านไม่คล่องเขียนไม่คล่องมากขึ้นแล้ว ยังพบว่า..อ่านแล้วคิดไม่เป็น สื่อสารไม่ได้..ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก อาจตกเป็นเครื่องมือ ของการโฆษณาชวนเชื่อ..
ครูหลายท่าน..อาจฝึกทักษะการอ่าน คิด วิเคราะห์ ด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย จากแบบทดสอบสำเร็จรูป จากข้อสอบเก่าๆ ซึ่งโดยมากจะเป็นแบบปรนัย แบบเลือกตอบ..
ผมคิดว่า..ถ้าครูคิดเครื่องมือหรือแบบฝึกด้วยตัวครูเองจะเป็นการดีมากกว่า อาจไม่ดีที่สุดก็ไม่เป็นไร เพราะครูจะเป็นผู้ใกล้ชิดเด็ก ทราบปัญหาฯ สามารถกำหนดความยากง่ายได้ และที่สำคัญ..ควรใช้เครื่องมือแบบอัตนัย หรือปลายเปิด..
ข้อคำถามแบบอัตนัย..จะฝึกให้นักเรียนคิดแล้วเขียนตอบ ฝึกการลำดับความ เห็นพัฒนาการของลายมือ ทำงานอย่างมีสติ รอบคอบ.ส่วนคำตอบ ก็(อาจจะ)ไม่ผิดทั้งหมด มีส่วนถูกบ้าง จะช่วยสร้างกำลังใจให้เด็กอยากเรียนรู้ภาษาไทย..
ไม่เหมือนข้อสอบแบบเลือกตอบแบบปรนัย..ผิดแล้วผิดเลย..ค่าคะแนนก็วัดอะไรได้ไม่มาก นอกจากจะทำให้นักเรียนเสียความรู้สึก และไม่สนุกในการเรียนแล้ว ยังบั่นทอนคุณภาพในระยะยาวด้วย...
อย่างไรก็ตาม..ข้อสอบแบบเขียนตอบ ไม่ได้ฝึกเด็กอย่างเดียว ฝึกครูด้วยเหมือนกัน..ฝึกตั้งแต่การออกแบบเครื่องมือ ฝึกตั้งคำถาม ฝึกความอดทนที่จะอ่านและฟังคำตอบของนักเรียนแต่ละคน..
หลายวันมาแล้วที่ผมฝึกแบบนี้ เด็ก ป.๖ เริ่มคุ้นชินกับข้อคำถามใหม่ๆ..บทอ่านใหม่ๆในแต่ละวัน..เขียนตอบมากขึ้น และ “คิดลึก”มากขึ้น เพราะรู้ว่าต้องคิดในเชิงเปรียบเทียบ ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่าบทอ่านทั่วไป..
ผมใช้บทอ่านที่เป็นบท”ร้อยกรอง” ให้เด็กอ่าน คิด และวิเคราะห์ แล้วตอบคำถาม นอกจากเด็กจะอ่านคำสัมผัสคล้องจองที่ไพเราะแล้ว ยังได้เนื้อหาและอรรถรส ตลอดจนได้ฝึกการเข้าถึง”ความยาก”อย่างมีกระบวนการด้วย....
ผมขอยกตัวอย่างบทสำหรับอ่าน..ที่ผมใช้สอน..ซึ่งนำมาจากหนังสือร้อยกรอง..ที่ผมอ่านเป็นประจำ ดังนี้...
ฉันติดคุกครั้งนี้ชั่วชีวิต เพราะทำผิดคิดรักตัวอักษร
ถูกคุมขังตั้งแต่เช้าจนเข้านอน กราบวิงวอนโปรดอย่ามาประกัน
คุกหนังสือคือคุกสุขและโศก คุกหนังสือคือโลกแห่งความฝัน
คุกหนังสือคือดนตรีชุบชีวัน คุกหนังสือคือคำมั่น”ฉันรักเธอ”
จงตอบคำถาม...
๑ “หนังสือ” เปรียบเหมือนสิ่งใด
๒ การติดคุกครั้งนี้ เหตุใดผู้เขียนจึงไม่อยากให้ประกันตัว
๓ “ฉันติดคุก..ชั่วชีวิต” หมายความว่าอย่างไร
๔ “ฉันรักเธอ” เธอ คือ ใคร
๕ จากการอ่านบทร้อยกรองนี้..ขอให้นักเรียนตั้งชื่อเรื่องตามความรู้สึกนึกคิดของนักเรียน........
นับเป็นการฝึก..จากบทอ่านและข้อคำถามง่ายๆ ที่ช่วยกระตุ้นความสนใจให้นักเรียนใฝ่เรียนใฝ่รู้..เวลาเฉลย ก็ให้นักเรียนตอบทีละคนและให้โอกาส อภิปรายร่วมกัน..
วันนี้..ผมให้บทอ่านที่เป็นบทร้อยกรองอีก..เช่นเดียวกัน..
เป็นชาวนาหน้าดำกรำแดดฝน ต้องดิ้นรนสู้ไปไม่หวาดหวั่น
ผลิตข้าวเลี้ยงชีพชนคนทุกชั้น แม้จะถูกเย้ยหยันงานที่ทำ
งานทุกอย่างต่างมีศักดิ์ศรีอยู่ อย่าลบหลู่งานนั้นว่าชั้นต่ำ
แม้ผืนนายังอาศัยดินไถดำ ข้าวทุกคำต้องอาศัยคนไถนา...
จงตอบคำถาม...
๑. จากการอ่านบทร้อยกรองนี้ นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไร..
๒. จงบอก “ปัญหา”ของ ชาวนาไทย ในปัจจุบัน
๓. “ชาวนา"ควรปฏิบัติอย่างไร ให้สอดคล้องกับคำว่า “พอเพียง”
๔. คำใดเป็น”คำซ้อน” หรือที่เรียกว่า”สัมผัสพยัญชนะ”
๕. จงตั้งขื่อเรื่องบทร้อยกรองนี้....
ผม..ให้นักเรียนไปอ่าน คิดวิเคราะห์..ให้เวลา ๓๐ นาที..ตอนนี้ขอไปต้อนรับคณะอาจารย์จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จ.สุพรรณบุรี ที่มาเยี่ยมชมโรงเรียน..ครับ
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๘ สิงหาคม ๒๕๖๐
ไม่มีความเห็น