(7) เชงเก้นวีซ่า ถึงเวลาลุ้นระทึก...มารับวีซ่าก่อนกำหนด


หลังจากยื่นขอวีซ่าเสร็จวันที่ 1 มิถุนายน ผมกลับมานอนรอลุ้นอยู่ที่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์ เวลาล่วงไปจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน ก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้า พร้อมด้วยของฝากเป็นทุเรียนทอดเกือบ 10 กิโลกรัม ใส่กระเป๋าใบใหญ่ ตีตั๋วนอนรถไฟไปกรุงเทพฯ ถึงหัวลำโพงตอนเช้ามืดวันที่ 9 มิถุนายน เข้าพักล้างหน้าล้างตา อาบน้ำที่ hostel (ห้องพักแบบนอนรวม ทำนอง guest house) ชื่อ @ Hua Lamphong อยู่ตรงสถานีรถไฟหัวลำโพงพอดี การจองห้องครั้งนี้ ใช้แต้ม Expedia.com ที่มีอยู่ในบัญชีตอนได้มาฟรีเมื่อหลายปีที่แล้ว จองไปในราคา 350 บาท แบบฟรี ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะกะเอาไว้อาบน้ำกะแต่งตัวสัก 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น

            พูดถึง Expedia สักนิดหนึ่ง Expedia เป็น Online Travel Agency เจ้าใหญ่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะตอนนี้ได้ซื้อกิจการของ Agency เจ้าอื่น เช่น Travelocity, Orbitz ฯลฯ รวมถึง Agency เจ้าอื่นๆ อย่างเช่น Hotels.com, Bookings.com ฯลฯ ก็เป็น Partner กับ Expedia หมด การจองตั๋วเครื่องบินหรือโรงแรม ตลอดจนเพจเกจทัวร์ต่างๆจากเอเยนต์เจ้านี้ จึงมั่นใจได้พอสมควร

กว่าจะเช็คอิน อาบน้ำเสร็จ ก็สว่างพอดี ปีนขึ้นเตียงชั้นบน (เตียงสองชั้น) แล้วงีบไปได้ไม่กี่นาที ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้เป็นเวลา 07.00 น. นอนรถไฟเมื่อคืน โยกเยกทั้งคืน เสียงก็ดัง ทำให้ตื่นทุกสถานี สรุปคือเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน จำใจลุกขึ้นสลึมสลือ แต่งตัวแล้วลงไปฝากกระเป๋าลากใบใหญ่พร้อมกับเป้ไว้ที่ชั้นล่าง แล้วลงรถไฟใต้ดินสถานีหัวลำโพงทันที ปลายทางคือสถานีลุมพินี

ใช่แล้วครับ วันนี้ (ศุกร์ที่ 9 มิถุนายน) เป็นวันที่จะมา “เสี่ยงดวง” ขอรับวีซ่าที่ไปทำไว้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่สถานทูตเยอรมัน ถนนสาธรใต้

จริงๆตามใบนัดรับวีซ่า ให้มารับวันที่ 12 มิถุนายน แต่เนื่องด้วยเราต้องบินจากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์ เวลา 11 โมงเช้าวันที่ 12 แล้วต่อเครื่องการบินไทยจากกัวลาลัมเปอร์ไปแฟรงค์เฟริร์ต (แวะสุวรรณภูมิ 1 ชั่วโมงกว่า) ในตอนค่ำวันเดียวกัน หากไปรับหนังสือเดินทางในตอนเช้าวันที่ 12 เกรงจะฉุกละหุก หรือหากวีซ่าเสร็จไม่ทัน ก็จะจัดการเรื่องเลื่อนตั๋วเปลี่ยนวันเดินทางใหม่ไม่ทันแน่

เป็นไงเป็นกัน ลองเสี่ยงดวงดู ไปขอรับวีซ่าวันที่ 8 นี้แหละ เผื่อบางทีเสร็จแล้วจะได้รับเลย หมดห่วงไป แต่ถ้าเสร็จไม่ทัน จะได้ลองหาทางหนีทีไล่อย่างอื่นไว้สำหรับวันจันทร์ที่ 12 ซึ่งเป็นวันเดินทางดู

จากสถานีรถไฟใต้ดินลุมพินี เดินออกมาทางถนนสาธรใต้นิดเดียว ก็เจอป้ายสถานทูตเยอรมนีแล้ว ส่วนของวีซ่าและกงสุลจะอยู่อีกทางเข้าหนึ่ง เห็นมีคนมาต่อคิวเข้าไปด้านในหลายคน ทั้งไทยทั้งฝรั่งเต็มไปหมด

เคยได้ยินเรื่องเล่าจากในพันทิพย์และบล็อคท่องเที่ยวต่างๆว่า การขอวีซ่าที่สถานทูตเยอรมนีนี่ “ไม่ธรรมดา” จะต้องผ่านด่านเจ้าหน้าที่ซึ่ง “ดุ” ตั้งแต่ประดูทางเข้า รวมทั้งการสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตนี่ก็ “ไม่เบา” เลยทีเดียว 

เราตื่นเต้นนิดหน่อย กลัวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรงหน้าประตูไม่ให้เข้า เพราะหนังสือรับวีซ่าระบุวันที่ 12 มิถุนายน (ก็ดันมาขอรับก่อนเวลานิ)

 ยื่นใบรับวีซ่าให้ดูแบบเร็วๆ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ให้เอาโทรศัพท์และไอแพด ออกจากกระเป๋า ผ่านเครื่องเอกซเรย์ แล้วเอาโทรศัพท์กะไอแพดไปฝากในล้อกเกอร์ไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน (กระเป๋าตังค์และของมีค่าอย่างอื่นเอาใส่กระเป๋าใบเล็กๆไปได้)

ระบบรักษาความปลอดภัยของสถานทูตที่นี่เข็มงวดมาก ไม่เหมือนไปขอวีซ่าประเทศอื่น นำโทรศัพท์เข้าไปได้สบายๆ แต่ต้องไม่พูดคุยเสียงดัง รบกวนขณะรอยื่นเอกสาร

เข้าไปกดบัตรคิวแล้วนั่งรอ กว่าจะถึงคิวเราก็ใช้เวลานานพอสมควร เนื่องจากมีคนมาขอรับวีซ่าและยื่นขอวีซ่ามาก แต่ช่องให้บริการก็เยอะพอสมควร

ถึงคิวเราก็ไปยื่นใบรับวีซ่า พร้อมทั้งอธิบายว่า ต้องบินไปกัวลาลัมเปอร์จันทร์ที่ 12 นี้ เลยจะขอรับหนังสือเดินทางก่อน เผื่อว่าวีซ่าเสร็จแล้ว

เจ้าหน้าที่รับเอกสารเราไปแล้วให้เรายืนรอ เธอหายไปด้านหลังพักใหญ่ คงกำลังไปเช็คเล่มหนังสือเดินทางเราว่ามาถึงหรือยัง ระหว่างนี้ก็ใจเต้นตูมตาม พร้อมลุ้นว่า “เธอจะมาพร้อมกับหนังสือเดินทางของเราหรือไม่”

และแล้ว โชคก็ไม่เข้าข้างเอาเสียเลย...

เธอเดินกลับมาโดยไม่มีหนังสือเดินทางติดมือมาด้วย คำตอบที่ได้คือ “วีซ่ายังไม่เสร็จค่ะ ให้กลับมาใหม่ตอนประมาณ 10 โมงเช้านะคะ ไม่ต้องกดบัตรคิว เข้ามายื่นใบรับวีซ่าที่ช่องเดิมนี้เลย อย่าลืมกลับเข้ามาก่อน 11.30 น.ก่อนที่ประตูจะปิดนะคะ”

ผิดหวังนิดหน่อย ถ้าวีซ่าเราเสร็จทันวันจันทร์ที่ 12 ป่านนี้น่าจะติดสติกเกอร์วีซ่าเรียบร้อยและเล่มน่าจะมาอยู่ที่แผนกรับวีซ่าตั้งแต่วันศุกร์ที่ 9 นี้แล้ว เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ เจ้าหน้าที่ไม่ทำงาน สงสัยวีซ่าเราเสร็จไม่ทันวันที่ 12 เป็นแน่แท้ แต่ยังไงก็รอลุ้นดู เดี๋ยว 10 โมงเข้ามาใหม่

ง่วงก็ง่วง เพลียก็เพลีย เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ รับมือถือกะไอแพดคืน เดินออกจากประตูสถานทูต ไปตึก Q House เป้าหมายปลายทางคือร้านกาแฟสตาร์บัค นั่งกินกาแฟรออีก 2 ชั่วโมง เดี่ยวค่อยกลับเข้ามาใหม่

กาแฟหมดไปอย่างทรมานมาก  10 โมงเช้า กลับเข้าไปฝากมือถือ ไอแพดเหมือนเดิม และตรงไปช่องที่ติดต่อไว้เมื่อเช้า แต่กว่าจะหาจังหวะมีคนว่าง ก็กินเวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมง เนื่องจากช่องนี้มีคนมายื่นเอกสารขอวีซ่าต่อเนื่องหลายคิว

อาศัยจังหวะระหว่างคิวต่อไป แทรกตัวเข้าไปยื่นใบรับให้เจ้าหน้าที่สาวคนเดิม หล่อนรับแล้วก็บอกให้รอ พอดีมีคนยื่นขอวีซ่าคิวต่อไปอีก 2 คนมาพอดี และทำหน้าขรึงทึงใส่เรา ทำนองว่าเรา “ลัดคิว” เจ้าหน้าที่เลยต้องรับเรื่องขอวีซ่าของ 2 คนนั้นให้เสร็จก่อน แล้วก็กวักมือเรียกเราไปยืนรอตรงช่อง ในระหว่างที่เธอหายไปด้านหลังพักใหญ่ (นานกว่าเมื่อตอนเช้าอีก)

ในระหว่างนี้ เราก็เจอหนุ่มไทย สูงยาว เข่าดี คนหนึ่ง มายื่นขอวีซ่าเชงเก้นเหมือนกัน แต่จะบินไปอเมริกาในวันพรุ่งนี้ ถ้าวีซ่าเสร็จไม่ทัน จะต้องขอหนังสือเดินทางคืนก่อน (วีซ่าอเมริกาอยู่ในหนังสือเดินทางเล่มที่ขอเชงเก้น) หูย ยังมีคนที่ลุ้นระทึกกว่าเราอีกนะเนี่ย คุยกันพักหนึ่งก็รู้ว่าเป็นนักธุรกิจที่เดินทางบ่อยมาก และตกชะตากรรมคล้ายๆกับเราเลย “เรามาลุ้นด้วยกัน”

และแล้ว เวลาแห่งความตื่นเต้นก็สิ้นสุดลง เมื่อเจ้าหน้าที่สาวเดินมาพร้อมกับหนังสือเดินทางเล่มหนึ่งโดยมีเอกสาร 2 แผ่นแนบมาในหนังสือเดินทางด้วย

“วีซ่าผ่านแล้วนะคะ ดีใจด้วยค่ะ แต่จะต้องกลับมารายงานตัวที่สถานทูตเยอรมัน หลังจากกลับมาเมืองไทยแล้วภายใน 3 เดือน และต้องยื่นแบบฟอร์มนี้ให้กับ ตม.ขาออกจากประเทศเชงเก้นด้วย ถ้าตม.เก็บไว้เขาจะส่งกลับมาที่สถานทูตเอง แต่หากเขาคืนมา ก็นำมาส่งคืนให้สถานทูตด้วย...

..อย่าลืมนะคะ ต้องมารายงานตัว ไม่งั้นคุณและคนที่มีนามสกุลเดียวกะคุณ จะติด Black List จะขอวีซ่าเชงเก้นอีกไม่ได้นะคะ หากไม่สะดวกมารายงานตัวด้วยตัวเอง ก็สำเนาหน้าวีซ่ากะหน้าประทับตราขาออกจากประเทศเชงเก้นส่งมาทางไปรษณีย์ก็ได้ค่ะ”

โอ๊ย ดีใจเหมือนถูกหวย ทุกสิ่งทุกอย่างที่กังวลและลุ้นระทึกมาตลอด ก็เป็นอันสิ้นสุดลง ณ นาทีนี้เอง

ส่งข้อความไปบอกน้องที่เยอรมันว่าวีซ่าผ่านแล้ว แต่มีเงื่อนไขกลับมาเมืองไทยแล้วต้องรายงานตัวนะจ๊ะ

อ้อ ลืมบอกไป ได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่ที่มีวีซ่าเยอรมัน กะหนังสือเดินทางเล่มเก่าที่สถานกงสุลแนบมาพร้อมกับเล่มใหม่ตอนยื่นขอที่ภูเก็ตมาด้วย พร้อมทั้งมีใบเสร็จรับเงินจำนวน 2,300 บาทค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าด้วย

อ๊าว เฮ๊ย เราเสียค่าธรรมเนียมและค่าดำเนินการต่างๆที่กงสุลแพงกว่าที่สถานทูต 1,500 บาทเหรอเนี่ย จริงๆการมาขอวีซ่าเชงเก้นที่สถานทูตก็ “ไม่น่ากลัว” เหมือนที่ใครหลายคนเคยโพสต์ในเว็ปบอร์ดหรือบล็อกต่างๆเลยนะ เจ้าหน้าที่ก็คุยดี บริการดี เพียงแต่การรักษาความปลอดภัยก่อนเข้ามาข้างในเข้มงวดหน่อยเท่านั้นเอง หรืออาจจะเป็นเพราะว่ามีการเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าให้ดู “เป็นมิตร” มากขึ้น

พลิกๆดูวีซ่าที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ อ๊าว เฮ๊ย อีกรอบ 

วีซ่าเพิ่งจะปรินท์ออกมาติดหนังสือเดินทางสดๆร้อนๆเลยนี่หว่า เพราะวันที่แสดงในวันออกวีซ่าคือวันนี้ ตอน 8 โมงเช้ายังไม่เสร็จ แต่มาตอน 10 โมงเช้าได้แล้ว แสดงว่าเจ้าหน้าที่ไปทำให้เราด่วนเลยนะเนี่ย ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

เรื่องราวตื่นเต้นยังไม่จบเพียงเท่านี้ เดี๋ยวต้องมาลุ้นเรื่องการเช็คอินตั๋วการบินไทยกัวลาลัมเปอร์-แฟรงค์เฟริร์ต และต่อด้วยลุฟฮันซ่าจากแฟรงค์เฟริร์ตไปฮัมบูร์ก ซึ่งน้ำหนักกระเป๋าการบินไทยให้ 30 กิโลกรัม แต่ตั๋วลุฟฮันซ่าเราซื้อน้ำหนักกระเป๋าไว้ 20 กิโลกรัมเท่านั้นเอง

แล้วกระเป๋าจะไปรับปลายทางที่ฮัมบูร์กได้เลยหรือไม่ การบินไทยกับลุฟฮันซ่าเป็นพันธมิตร เครือ Star Alliance เหมือนกัน ข้อมูลบางกระแสบอกว่า Check through ไปปลายทางได้เลย โดยยึดถือน้ำหนักกระเป๋าของการบินไทยเป็นหลัก แต่มีบางกระแสบอกว่าเคยมีปัญหาไม่สามารถรับกระเป๋าปลายทางได้ ต้องเช็คอินอีกรอบมาแล้ว

เอาว่ะ...เป็นไงเป็นกัน Check Through ไม่ได้ก็ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มอีก 10 กิโลที่ปลายทางเป็น excess baggage ซึ่งอาจจะแพงมโหฬารเอาแระกัน

ชะตาชีวิตจะเป็นยังไง โปรดติดตามตอนต่อไป.... 

หมายเลขบันทึก: 632564เขียนเมื่อ 4 สิงหาคม 2017 23:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม 2017 23:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท