ในโลกอันกว้างใหญ่ที่คนหลายเผ่าพันธุ์ได้อยู่อาศัยนี้มีอะไรให้ชวนคิดชวนสงสัยกันมากเมื่ออายุมากขึ้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดูกาล เงาแห่งความสงสัยยิ่งทอดยาวออกไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายเพียงเพื่อเปิดโลกทัศน์แห่งตนได้ค้นหาคำตอบซึ่งอาจจะผิดก็ได้ว่า
กฎแห่งกรรมคือกฎสมดุลของการกระทำที่เที่ยงธรรม นักปรัชญาคือคนที่ชอบคิดชอบสงสัยและค้นหาคำตอบอยู่เสมอ เช่นการเห็นผลมะม่วงสีเหลืองอาจมองได้ 2 แง่คือ ภาพที่เรามองเห็นกับความจริงของสิ่งนั้น แม้ความจริงเองก็ซับซ้อนคือมองเห็นความจริงโดยสมมุติหรือโดยปรมัตถ์
สำหรับคนนั้นก็มีคุณสมบัติใหญ่ ๆ อยู่ 2 ส่วนคือ กายภาพและจิตภาพ
ด้านกายภาพนั้นเป็นวัตถุหรือสสารโดยเรามองเห็นรูปร่างหน้าตาท่าทางซึ่งจะมีปัญหาน้อยเพราะรู้ได้เร็วตามที่เห็นเหมือนคนใช้เท้าวิ่งใช้มือถือกระเป๋า
ด้านจิตภาพนั้นเป็นนามธรรมยากที่เราจะเห็นจะเข้าใจได้เพราะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก อย่างใครกำลังคิดอะไรอยู่เราไม่รู้ได้ดอก
ในสายวิชาปรัชญานั้นมีมุมมองหลายด้านเช่น อภิปรัชญา ( metaphysics ), ญาณวิทยา ( epistemology ) , จริยศาสตร์ ( ethics ) เป็นต้น
ด้านอภิปรัชญา ( metaphysics ) คือ มุมคิดของคนทั้งปวงที่ต้องการบอกว่าอะไรคือความจริงแบบลุ่มลึกหรือเป็นแก่นแท้ของสิ่งนั้น ๆ ซึ่งความลุ่มลึกนี้ต้องใช้ดวงตาแห่งปัญญาเท่านั้นละในการมอง
ด้านญาณวิทยา ( epistemology ) ทำความเข้าใจเรื่อง ญาณ คือ การหยั่งรู้ความจริงที่ลึกซึ้งผ่านทางการปฏิบัติ ญาณวิทยามักถามปัญหาหลัก ๆ เช่น สิ่งต่าง ๆ ที่คุณยืนยันนั้นคุณรู้ได้ยังไง..? สิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นความจริงนั้นคุณมั่นใจได้อย่างไร..? สิ่งที่คุณพูดถึงความจริงบ้างความเท็จบ้างนั้น ความจริงคืออะไร ความเท็จคืออะไร
ปัญหาทางญาณวิทยาตั้งขึ้นมานั้นแท้จริงแล้วเพื่อถามอภิปรัชญาหรือจะกล่าวว่าคำตอบอยู่ที่อภิปรัชญา
แง่คิดโลกแห่งแบบของเพลโต้นั้นก็ยังเป็นเพียงโลกในจินตนาการของเพลโต้เท่านั้นเอง
เรื่องเกี่ยวกับคนนั้นชวนคิดว่า คนเรานี้รู้อะไรได้บ้างและมีสิ่งใดที่อยู่เกินความสามารถของคนที่จะเข้าไปรู้ได้บ้าง
กรณีโลกแบนนั้นเป็นความเชื่อไม่มีที่สิ้นสุด มองผ่านแว่นตาศาสนาเป็นสิ่งเฉพาะแต่ละชาติ วัฒนธรรม เป็นโลกส่วนตัว เช่น เราลองมองด้านศาสนาฮินดูที่เชื่อว่าในตัวคนมีอัตตาคือวิญญาณอมตะ แต่ศาสนาพุทธเชื่อว่าไม่มีอัตตาอย่างนี้เป็นต้น
แต่กรณีโลกกลมนั้นเป็นความรู้มีที่สิ้นสุด มองผ่านแว่นตาปรัชญา เป็นสิ่งสากล เป็นโลกไร้พรมแดน เป็นโลกส่วนรวม
เช่น ศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเห็นตรงกันว่าคนโลภมากนั้นไร้ความสุขสามารถพิสูจน์ได้
นั้นคือการที่ศาสนามีความเห็นแตกต่างกันมักเป็นด้านความเชื่อและอาจทะเลาะกันได้แต่จะไม่ทะเลาะกันเพราะด้านความรู้ ความรู้มีคุณสมบัติคือความจริง ความจริงที่รับรองได้ด้วยประสาทสัมผัสนั้นคือข้อเท็จจริง
อะไรที่ยังชวนให้สงสัยได้ถือว่ายังไม่เป็นความรู้
ด้านจริยศาสตร์ ( ethics )นั้นมักสนใจคน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนและที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นด้วย จริยศาสตร์มักจะค้นหาว่าสิ่งดีที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร คนจะอยู่อย่างไรจึงคุ้มค่าที่เกิดมาในโลกนี้ สิ่งที่มีประโยชน์จำเป็นต้องดีด้วยหรือไม่อย่างไร..?
ไม่มีความเห็น