การจัดการศึกษาท้องถิ่น ตอนที่ 4 : สาเหตุพัฒนาการศึกษา


การจัดการศึกษาท้องถิ่น ตอนที่ 4 : สาเหตุพัฒนาการศึกษา

22 มิถุนายน 2560

ทีมวิชาการ สมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย [1]

ระบบการศึกษาไทยตามแนวระบบโรงเรียนแบ่งเป็น 4 ระดับคือ (1) ระดับก่อนประถมศึกษา (2) ระดับประถมศึกษา (3) ระดับมัธยมศึกษา และ (3) ระดับอุดมศึกษา ส่วน “ระดับก่อนประถมศึกษา” มิได้กำหนดไว้เป็น “การศึกษาภาคบังคับ” แต่ก็ถือว่า “การศึกษาขั้นพื้นฐาน” ที่มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าเรียนของเด็ก “การศึกษาพื้นฐาน” หรือ “การศึกษาขั้นพื้นฐาน” (Basic Education) จึงหมายถึง การศึกษาที่จัดให้เด็กตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียน ไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย [2]

การศึกษาพื้นฐานเรียนฟรี 15 ปี

ต้องยอมรับว่าการจัดการศึกษาพื้นฐานของประเทศไทยมีหน่วยงานหลักที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้รับรอง “สิทธิ” การศึกษาฟรี 12 ปี [3] (ป.1-ม.6) แต่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (หน.คสช.) ได้ประกาศเรียนฟรี 15 ปี [4] ซึ่งหากนับจากระดับก่อนวัยเรียนก็จะนับถึง ม.6 แต่ในทางความเป็นจริง นโยบายการเรียนฟรีมิได้รับการปฏิบัติจากหน่วยงานผู้ปฏิบัติ ซึ่งก็คือทางโรงเรียนยังมีการขอเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ปกครองอยู่ เช่น อาจเรียกว่าเงินบริจาค เงินค่าเบ็ดเตล็ด หรือค่าอื่นใด

ปัญหาหลักของ รร.สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ที่สำคัญอาทิเช่น (1) ปัญหาโรงเรียนท้องถิ่นไม่ได้มีการพัฒนาครู ให้เป็นครูที่มีความรู้ความสามารถอย่างเช่นที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ เพราะท้องถิ่นมีอิสระในการบริหาร (2) ขวัญกำลังใจในการทำหน้าที่ครูของพนักงานครูเทศบาลต่ำกว่าครู สพฐ.เป็นอย่างมาก (3) นักการเมืองท้องถิ่นบางแห่งมองโรงเรียนท้องถิ่นเป็นเพียงเครื่องมือหาเสียงทางการเมือง มิใช่สิ่งที่ต้องส่งเสริมสนับสนุนมากมายตามหลักปรัชญาการศึกษา และมักจะบริหารจัดการกับโรงเรียนตามสบาย (4) ข้อนี้อาจถือว่าสำคัญที่สุดคือ ศักดิ์ศรีครูท้องถิ่นเทียบได้เพียงพนักงานคนหนึ่งของ อปท. หรือเป็นเพียงตัวจักรที่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น เปรียบการใช้งานหรือการทำงานเสมือนภารโรงที่ทำงานไม่ซับซ้อน ทำให้ความรู้สึกของครูท้องถิ่นว่าตนมิใช่ข้าราชการครูตามแบบที่กระทรวงอื่นถือเป็นผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน

การปฏิรูปการศึกษาปี 2560 ล้าหลังหรือไม่

มีการวิพากษ์ว่าการปฏิรูปการศึกษาไทยปัจจุบัน 2560 เป็นแบบไดโนเสาร์คืนชีพ [5] อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโดยการตั้งหน่วยงานที่เหมือนซ้ำซ้อน เขตพื้นที่ ศึกษาจังหวัด นักการศึกษาบางท่านเห็นว่าเปลืองงบประมาณ จึงทำให้การปฏิรูปการศึกษาในรอบนี้มีประเด็นที่มีผู้ไม่เห็นด้วย สรุปเหตุผลรวมๆ ได้แก่ (1) ไม่มีการต่อยอดจากนโยบายปฏิรูปของท่าน รมต. พลเอกดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ แต่เป็นการคิดนโยบายใหม่อย่างรีบร้อนเร่งด่วน โดยเฉพาะด้านโครงสร้างองค์กรการศึกษาที่ยังไม่ตกผลึกทางความคิด (2) ผู้ออกนโยบายยังขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการศึกษา เพราะไม่ได้คำนึงถึงสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการของคนในวงการศึกษาอย่างแท้จริง(3) มีอัตตาสูงในการตัดสินใจ ขาดความรอบคอบในการมองบริบทของการจัดการศึกษาไทยให้ครบทุกมิติ เห็นได้ชัดจากการกำหนดนโยบายโดยองค์คณะไม่กี่คนซึ่งน่าจะเป็นเพียงตรายางที่คอยสนองรับนโยบายเท่านั้น (4) มีการเพิ่มภาระงานและงบประมาณให้วงการศึกษามากขึ้นเห็นได้ชัด เช่น การจัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค (ศธ.ภาค), สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) ต้องใช้บุคลากรเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 6 พันคน สร้างสำนักงานเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อย ซึ่งงบประมาณส่วนนี้น่าจะนำไปใช้ถึงโรงเรียนจึงจะส่งผลต่อเด็ก (5) หากมองการปฏิรูปการศึกษาในระดับภูมิภาค จะเห็นแววของการจัดการศึกษาที่ขึ้นตรงดับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการส่วนภูมิภาค ต่อไปครูเราอาจจะต้องเป็นข้าราชการส่วนภูมิภาค และในอนาคตที่เขาวางไว้ อาจต้องกลับไปสังกัด อปท.เหมือนในอดีต

นอกจากนี้ การสั่งห้ามมิให้ ผอ.สนง.เขตพื้นที่การศึกษาและบุคลากรในสังกัดวิพากษ์และแสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาค และขอความร่วมมือ ผอ.สนง. เขตพื้นที่การศึกษาและบุคลากรในสังกัดให้พิจารณาและพึงระมัด ระวังในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาค [6]

การห้ามวิพากษ์นโยบายการจัดการศึกษา จึงเป็นกระแสเร้าให้มีการอยากพูด อยากเขียนมากขึ้น แนวทางแก้ไขที่ง่ายที่สุดคือร่วมกันเสนอนายกรัฐมนตรีให้ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ทางการศึกษามาแก้ปัญหาหรือปฏิรูปการศึกษาในรอบนี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะครูเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายนี้ ในการปฏิรูปการสาธารณสุข พยาบาลผู้ได้รับผลกระทบยังออกมาต่อสู้เรียกร้อง น่ากลัวว่าครูที่ได้รับผลกระทบอาจออกมาต่อสู้เรียกร้องบ้าง

การประเมินของ PISA ล่าสุดปี 2560 [7]

PISA หรือ Programme for International Student Assessment เป็น โครงการประเมินผลการศึกษาของประเทศสมาชิกที่ดำเนินการโดย Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD มีจุดประสงค์เพื่อสำรวจระบบการศึกษาของนานาประเทศว่าได้เตรียมความพร้อม สำหรับการใช้ชีวิตและการมีส่วนร่วมในสังคมในอนาคตเพียงพอหรือไม่ โดย PISA มีการประเมินสมรรถนะที่เรียกว่า Literacy ใน 3 ด้านคือการอ่าน (Reading Literacy) คณิตศาสตร์ (Mathematical Literacy) และวิทยาศาสตร์ (Scientific Literacy)

ผลการประเมินของ PISA ล่าสุดปี 2560 จัดลำดับคุณภาพในการจัดการศึกษาของอาเซียนของเด็กเยาวชนไทยแย่ลงที่ถูกจัดไว้ในลำดับที่ 8 รองจากกัมพูชา และเวียดนาม นอกจากนี้การประเมินของ PISA ล่าสุดปี 2560 ได้จัดคะแนนประเทศไทยไว้ค่อนข้างต่ำจุดยุติ (End Point) ต้องยอมรับความจริงว่าคุณภาพการศึกษาไทยยังห่างไกลความเป็นเลิศ การแก้ไขปรับปรุงจึงเป็นเรื่องรีบด่วน เนื้อหารายงานแนวโน้มผลการประเมินของนักเรียนไทย เมื่อติดตามดูการขึ้นลงของคะแนนตั้งแต่ PISA 2000 ถึง PISA 2015 ในแต่ละช่วงของการประเมิน (ทุก 3 ปี) โดยเริ่มจากการประเมินที่มีวิชานั้นเป็นหลัก กล่าวคือ การอ่านตั้งแต่ PISA 2000 คณิตศาสตร์ ตั้งแต่ PISA 2003 และวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่ PISA 2006 พบว่าการอ่านมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์แนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับผลการประเมินทางด้านวิทยาศาสตร์ในช่วง PISA 2009 และ PISA 2012 คะแนนเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง และกลับลดลงใน PISA 2015

หลักฐานจากงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ การศึกษาของธนาคารโลกชิ้นหนึ่ง บ่งชี้ว่า ความอ่อนด้อยของการศึกษาไทยส่วนหนึ่งมาจาก “ระบบ” แม้ว่ามีรายงานว่า การประเมินด้านการอ่านของนักเรียนไทยระหว่าง PISA 2000 กับ PISA 2006 มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากปัจจัยที่มาจากตัวนักเรียนเองส่งผลให้คะแนนเพิ่มขึ้น (6.3 คะแนน) แต่เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยด้านระบบ กลับพบว่าส่งผลให้คะแนนลดลง (22.4 คะแนน) เป็นผลให้คะแนนรวมลดลง (16.1 คะแนน)

รายงานจากฝ่ายวิจัยชี้ว่า ตัวแปรจากระบบที่ส่งผลกระทบทางลบ ได้แก่ การรับนักเรียนเข้าโรงเรียนโดยการคัดเลือกทางวิชาการ ซึ่งการคัดเลือกเช่นนี้ไม่มีปฏิบัติในหลายประเทศที่มีผลการประเมินสูง เช่น ฟินแลนด์ เกาหลีใต้ เป็นต้น การแบ่งแยกกลุ่มนักเรียนตามความสามารถ เช่น การแยกนักเรียนไปอยู่ห้องคิง/ห้องควีน หรือห้องโหล่ ทำให้นักเรียนอ่อนซึ่งมีจำนวนมากกว่านักเรียนเก่ง ขาดประสบการณ์ที่จะได้เห็นการเรียนของเพื่อน ขาดโอกาสจะแบ่งปันทั้งความรู้ ความคิด และวิธีการเรียนรู้จากเพื่อนวัยเดียวกัน

ชมว่าฟินแลนด์จัดการศึกษาได้ดีที่สุด [8]

ใครๆก็ชมว่าฟินแลนด์จัดการศึกษาได้ดี เนื่องจากฟินแลนด์จัดการศึกษาให้มีการบ้านน้อยมาก, มีการสอบวัดระดับ แต่จะไม่สอบพร่ำเพื่อ, มีโรงเรียนเอกชน แต่คุณภาพเหมือนกันหมด จึงไม่มีความแตกต่างอะไร เป็นต้น

ต้องก้าวข้าม การยุบ การควบรวม เลิกสถานศึกษา แล้วมาพัฒนาการศึกษากันดีไหม

กระแสการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก มิใช่เพิ่งเกิดขึ้นในนโยบายรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในยุคนี้ แต่เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงหลายปีก่อน นโยบาย “เพื่อประหยัดงบประมาณให้สมดุลคุ้มค่า” การโยนหินถามทางว่า โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อยกว่า 60 คน พร้อมที่จะยุบหรือควบรวมหรือไม่? จึงเกิดขึ้น โดยการออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวมหรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 [9] พร้อมมีการสำรวจข้อมูลฯ ได้ปลุกให้ครู ผู้บริหาร รร. ตื่นตระหนก เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในการปฏิบัติงานให้เกิดคุณภาพตามอุดมการณ์แบบคละชั้นหรือรวมชั้น นั่นเท่ากับผลักดันให้โรงเรียนขนาดเล็กต้องอยู่ด้วยคุณภาพ (แบบเดี่ยว) หรือต้องสร้างเครือข่ายคุณภาพกับโรงเรียนใกล้เคียง (ที่เราคุ้นเคยว่า โมเดล นั่นเอง) ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดกระแสการยุบ การรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จึงมีทั้งผู้คัดค้าน และผู้เห็นด้วย ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันเช่น

ฝ่ายผู้เห็นด้วย เห็นว่า เด็กๆได้เรียนกับครูในโรงเรียนที่มีมาตรฐานสูงกว่าเดิมมีสื่อ มีแหล่งเรียนรู้พร้อม, ประหยัดงบประมาณในการบริหารจัดการ (แต่ต้องลงทุนซื้อรถตู้), ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กแบบใหม่, การตัดสินใจยุบ เลิกต้องฟังเสียงชุมชนอยู่แล้ว ฯลฯ เป็นต้น

ฝ่ายผู้ไม่เห็นด้วย เห็นว่า โรงเรียนขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยมีการบริหารจัดการที่ดีมีคุณภาพ (จิ๋วแต่แจ๋ว) อยู่แล้ว, เด็กที่ขาดโอกาส เด็กพิเศษเรียนร่วม ได้รับการช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิดมากกว่า, สภาพภูมิศาสตร์บางพื้นที่ไม่เอื้อต่อการควบรวมโรงเรียน, ที่จริงเรื่องขนาดเล็ก หรือครูไม่ครบชั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะโรงเรียนรับรู้สภาพข้อจำกัด และได้แก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้ได้ลงตัวอยู่แล้วเช่น สอนแบบคละชั้น สอนแบบบูรณาการ สอนแบบฐานการเรียนรู้ ฯลฯ การเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบันขึ้นอยู่กับการออกแบบวิธีเรียนวิธีสอน ครู ในความแตกต่างระหว่างบุคคล หรือสามารถใช้สื่อการสอนทางไกลรายการโทรทัศน์ เป็นสื่อช่วยครูได้, โรงเรียนถือเป็นสถาบันหลักของชุมชนอันเป็นที่รักและหวงแหนของผู้คนในชุมชนหากจะยุบต้องไม่เหลือเด็กแล้ว และต้องใช้ประโยชน์กับอาคารสถานที่อย่างคุ้มค่า ฯลฯ เป็นต้น

บริบทเหล่านี้ ทำให้นักการศึกษาหลายท่านเกิดความคิดในการ “พัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน” หรือการจัดสรรการ “ถ่ายโอนการศึกษา” [10] หรือ การจัดการศึกษาที่พอดี ไม่ว่า เพื่อไม่ให้เกิดการแย่งงานกันทำ ให้มีมาตรฐานคุณภาพการจัดการที่ไม่แตกต่างกันตามศักยภาพ อาทิเช่น การจัดการศึกษาเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ที่การศึกษาเอกชนท้วงว่า สพฐ. ไปจัดการศึกษาแย่งเอกชนได้อย่างไร [11] หรือ กรณีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ของ อปท. ต้องเปลี่ยนแปลงในระบบการจัดการเสียใหม่ ไม่ว่าโดยการยุบ ศพด. [12] หรือ การจัดตั้งโรงเรียนของ อปท. ขึ้นก็ตาม ซึ่งเป็นปัญหาทางปฏิบัติของการจัดการศึกษาที่มีมานานแล้ว เพียงแต่ได้ปล่อยให้เลยตามเลย ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อจำกัดของ อปท. ที่ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบการจัดการศึกษาท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบเต็มที่ ด้วยข้อจำกัดบุคคลากร และระบบการจัดการที่รวบอำนาจของหน่วยกำกับดูแลฯ เป็นอาทิ



[1]PhachernThammasarangkoon & ManopNgamta & Nut Saijunteuk, Municipality Officer ทีมวิชาการสมาคมพนักงานเทศบาลแห่งประเทศไทย, หนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ ปีที่ 64 ฉบับที่ 41วันศุกร์ที่ 23 – วันพฤหัสบดีที่ 29มิถุนายน 2560, หน้า 66  &  บทความพิเศษ: การจัดการศึกษาท้องถิ่น ตอนที่ 4 : สาเหตุพัฒนาการศึกษา, สยามรัฐรายวันพฤหัสบดี ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2560 หน้า 10

[2]การศึกษาขั้นพื้นฐาน, www.piwdee.net/kradilmu2/ilmu0061.html & การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย, http://arit.chandra.ac.th/edu/Patiroob/education4....

[3]ดู รัฐธรรมนูญ หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 54 รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย

[4]คำสั่ง คสช.ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายและแต่งตั้งข้าราชการการเมือง, ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี 248/2559, 15 มิถุนายน 2559, http://www.moe.go.th/websm/2016/jun/248.html

[5]วาระประเทศไทย : โครงสร้าง ศธ.ใหม่ กระจายอำนาจ หรือรวมศูนย์, วิดีโอสำหรับ กระทรวงศึกษาไดโนเสาร์คืนชีพ, 22 มีนาคม 2559,

[6]สั่งปิดปาก!! ปฏิรูปส่วนภูมิภาคส่อวุ่นหนัก เลขาฯ สพฐ.สั่งปิดปาก'ผอ.สพท., มติชน, 29 พฤษภาคม2560, https://www.matichon.co.th/news/569305

ตามหนังสือ สพฐ.โดยสำนักนโยบายและแผน ลงนามโดยนายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการ สพฐ. ที่ ศธ 04006/3377 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 และ หนังสือลงนามโดยเลขาธิการ สพฐ. ที่ ศธ 04009/1027 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2560

[7]PISA กับประเทศไทย: ความจริงที่ต้องยอมรับ, by PISA THAILAND, โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA), สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ , 6 มิถุนายน 2560, http://www.hongpakkroo.com/1921.html

เอกสารฉบับที่ 18 ประจำเดือนมิถุนายน 2560 เรื่อง “PISA กับประเทศไทย : ความจริงที่ต้องยอมรับ”ได้เผยแพร่แล้วที่ http://pisathailand.ipst.ac.th/pisa/focus/

[8]ทำไมฟินแลนด์ถึงมีการศึกษาดีที่สุดในโลก, มหาลัย 3 นาที, 8 มิถุนายน 2560, https://www.facebook.com/3min.mahalai/videos/444240089264720/?autoplay_reason=gatekeeper&video_container_type=0&video_creator_product_type=2&app_id=2392950137&live_video_guests=0

[9]ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง รวมหรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 3 มกราคม 2550, http://www.lertchaimaster.com/doc/G210601.PDF

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 124 ตอนพิเศษ 6 ง วันที่ 16 มกราคม 2550

[10]อดีต ส.ส.ร.ชี้เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญให้ปฏิรูปการศึกษาไม่ใช่ถ่ายโอน”. ผู้จัดการออนไลน์. 12 ธันวาคม 2548

& สโรช สันตะพันธุ์, ปัญหาการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, นิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (สาขาวิชากฎหมายมหาชน) นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง (สาขาวิชาการปกครอง), 2548, http://www.sobkroo.com/img_news/file/A26974710.doc

& เรียนรู้ประสบการณ์ การกระจายอำนาจการศึกษาของต่างประเทศ”, Education Decentralization: What Overseas Experience can Teach us, 16 พฤศจิกายน 2548, http://www.parent-youth.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538688976&Ntype=4

ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกระจายอำนาจการศึกษาสู่ท้องถิ่น : อังกฤษ, แคนาดา, สวีเดนและเดนมาร์ค

ประเทศที่การกระจายอำนาจก่อเกิดปัญหา : เยอรมันนี, เสปน, นิวซีแลนด์, บราซิล

& เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, ถ่ายโอนการศึกษาต้องมีมาตรฐาน, 2549, http://www.kriengsak.com/node/763

จากมติคณะรัฐมนตรี 8 พฤศจิกายน 2548 ระบุว่า การถ่ายโอนบุคลากรด้านการศึกษาให้อยู่บนพื้นฐานความสมัครใจ

& ธนสาร บัลลังก์ปัทมา, ถ่ายโอนการศึกษาสู่ท้องถิ่น...ครูคิดอย่างไร, พิมพ์ครั้งแรก The City Journal ฉบับวันที่ 1-16 พฤศจิกายน 2551., 21 พฤศจิกายน 2551, https://www.gotoknow.org/posts/224436

& ศึกถ่ายโอนการศึกษา ทางเลือก ? ทางออก ?, 21 พฤษภาคม 2558, http://mblog.manager.co.th/titiya110/th-14012/

& ถวิล ไพรสณฑ์, โอนการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ อปท.เพื่อแก้ปัญหาความล้าหลังการศึกษาของไทย, 24 พฤษภาคม 2558, http://www.krooupdate.com/news/newid-162.html

[11]จัดอนุบาล3ขวบยังเคลียร์ไม่ลงตัว, ข่าวจาก เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560, 19 มิถุนายน 2560, http://www.kroobannok.com/82261

[12]ประกาศสำนักประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น เรื่อง มาตรฐานขั้นตอนการรายงานการจัดตั้ง การรวม การยุบเลิก และการขยายชั้นเรียน ในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงวันที่ 31 มีนาคม 2559, http://www.dla.go.th/work/2558/7.PDF & 5 ขั้นตอนการยุบเลิกศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, 16 มิถุนายน 2560, http://www.thailocalmeet.com/index.php?topic=64432.0

หมายเลขบันทึก: 630147เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2017 00:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม 2017 06:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท