การใช้ฟื้นฟูความจำในผู้ป่วย Amnestic syndrome โดยเปรียบเทียบระหว่างเทคนิค errorless learning และ vanishing cues


ความผิดปกติของความจำเพียงอย่างเดียว (amnestic syndrome)
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีแต่ปัญหาของความจำ (amnesia) โดยที่การทำงานของสมองอย่างอื่นเป็นปกติ กล่าวคือ ไม่พบความผิดปกติของการใช้ภาษา (aphasia) ไม่มีการสูญเสียทักษะในการทำกิจกรรม (apraxia) ไม่มีการไม่รับรู้ในสิ่งที่เคยรู้มาก่อน(agnosia) และ ไม่มีความผิดปกติในการบริหารจัดการ (executive dysfunction) ภาวะนี้เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วน medial temporal lobe และ วงจร Papez สาเหตุที่พบบ่อยของภาวะนี้คือ กลุ่มอาการ Wernicke-Korsakoff ซึ่งเกิดจากการติดสุราและขาดวิตามินบีหนึ่ง (thiamine) โรคสมองอักเสบจากเชื้อ herpes และอุบัติเหตุที่สมอง

โดยปัจจุบันมีโปรแกรมฟื้นฟูความจำในหลายรูปแบบ แต่ในบทความนนี้จะขอยกมาจากการศึกษาในหัวข้อ Implicit Learning in Memory Rehabilitation: A Meta-Analysis on Errorless Learning and Vanishing Cues Methods ดังนี้

วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้จะนำเสนอการตรวจสอบเชิงปริมาณเกี่ยวกับผลกระทบของเทคนิคการฟื้นฟูหน่วยความจำในผู้ป่วย Amnestic โดยใช้วิธีการ errorless learning และ vanishing cues การศึกษาต้องเป็นไปตามเกณฑ์การรวมต่อไปนี้ (1)ข้อมูลเดิมได้รับรายงาน (2) การฟื้นฟูสมรรถภาพของหน่วยความจำในผู้ป่วยที่หน่วยความจำบกพร่อง (3)การควบคุมการแทรกแซง (4) คะแนนที่แน่นอนมีการระบุไว้สำหรับทั้งเงื่อนไขการแทรกแซง หรือที่แน่นอนทางสถิติ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันเทคนิคการerrorless learning มีประสิทธิภาพในผู้ป่วยAmnestic และผลกระทบของเทคนิคvanishing cues มีขนาดเล็ก (และไม่มีนัยสำคัญ)

วิธีการ

ในปัจจุบันมีวิธีการฟื้นฟูหน่วยความจำที่หลากหลาย แต่การศึกษานี้จะมุ้งเน้นไปที่ 2 เทคนิคการฟื้นฟูหน่วยความจำ คือ errorless learning และ vanishing cues

Vanishing cues คือการเรียนรู้พฤติกรรมพื้นฐานโดยการสร้างและการโยงย้อนกลับ โดยใช้วิธีการให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้แบบซับซ้อนขึ้น โดยค่อยๆเพิ่มหรือลดตัวชี้นำออกไป เช่น การสอนคำศัพท์เกี่ยวกับ computer relateในผู้ที่บกพร่องด้านความจำ โดยต้องศึกษาคำศัพท์ เช่น คำว่า CURSOR และ HARD DISK ที่ถูกนำมาเรียนรู้แบบค่อยเป็นค่อยไป ยกตัวอย่างเช่นคำนิยามของคำว่าCURSOR ที่ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกโดยทดลองการเรียนรู้ผ่านการนำเสนอ คำแรกC_____,CU____, CUR___, และอื่น ๆขึ้นอยู่กับ ปริมาณข้อมูลที่ผู้ป่วยต้องการจะคาดเดาคำที่ถูกต้อง (หรือจนกว่าจะมีคำที่ถูกต้องทั้งหมดถูกนำเสนอออกมา) ต่อมาจะเป็นการค่อยๆลดตัวชี้นำออกไป เช่น CURSO_,CURS__, CUR___ และอื่น ๆ การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าถึงแม้ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเรียนรู้คำเหล่านี้ได้มีการใช้โดยใช้กลยุทธ์ในการช่วยจำที่ชัดเจนมากขึ้น (เช่นให้ความสนใจมากขึ้นในการเรียนรู้) พวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำศัพท์คอมพิวเตอร์ด้วยความช่วยเหลือของเทคนิค vanishing cueing

วิธีการ Errorless learning อาศัยสมมตติฐานขั้นพื้นฐานคือ ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในช่วงการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การตอบสนองที่ถูกต้อง โดยปกติการเรียนรู้ข้อผิดพลาดเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขโดกระบวนการหน่วยความจำที่ชัดเจน แต่เนื่องจากความทรงจำหมดพร่องหลังจากการเป็น amnestic ทำให้กระบวนการแก้ไข้ความผิดพลาดนี้บกพร่องไปกลุ่ม โดยในกลุ่มทดสอดได้เปรียบเทียบการทดลอง ลองผิดลองถูก trial-and-error (ผลจากข้อผิดพลาดระหว่างการเรียนรู้) โดยมีเงื่อนไขในการที่การทำข้อผิดพลาด(เช่น errorless learning) การเรียนรู้คำที่มีตัวอักษร 5 ตัว สำหรับที่การชี้นำ (เช่นการใช้ QU___ เป็นตัวชี้นำสำหรับคำว่า QUEEN) โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับคำสั่งให้คาดเดาคำศัพท์และจากนั้นจะให้คำตอบที่ถูกต้องแก่ผู้เข้าร่วม (การทดลองลองผิดลองถูก trial-and-error ) หรือให้คำตอบที่ถูกต้องกับผู้เข้าร่วมทันที เช่น ( '' ฉันคิดว่าตัวอักษร5คำที่ขึ้นต้นด้วย QU___ เป็นคำว่า QUEEN (ราชินี) '' (คือการเรียนรู้ errorless) สิ่งที่น่าสนใจคือหน่วยความจำมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อย (errorless) มีประสิทธิภาพสูงกว่าในช่วงที่มีข้อผิดพลาดจำนวนมาก (errorful) ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคือ ผู้ป่วยมีความจำเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ถูกแก้ไขอย่างถูกต้องในการเรียนรู้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย( errorless) มากกว่าในการเรียนรู้ความผิดพลาดจำนวมาก ( errorful)และผลกระทบจากการเรียนรู้ยังมีผลอยู่ต่อ เช่น 1 สัปดาห์หลังการทดลอง

ผลการศึกษา


จากตารางการวิเคราห์ผลกระทบของการฟื้นฟูความจำโดยเทคนิค errorless learning และ vanishing cues จะเห็นได้ว่าการใช้เทนนิค errorless learning มี effec size:0.87เป็นผลกระทบขนาด”ใหญ่” โดยมีค่าความเชื่อมันถึง 0.10-1.64ซึ่งมีผลกระทบมากกว่าการใช้เทคนิค vanishing cues ที่มี effec size :0.27 เป็นผลกระทบขนาด”เล็ก” และยังเป็นผลกระทบอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

แหล่งอ้างอิง :

Implicit Learning in Memory Rehabilitation: A Meta-Analysis on Errorless Learning and Vanishing Cues Methods

Roy P.C. Kessels & Edward H.F. Haan https://www.researchgate.net/publication/9887169_I...

http://www.si.mahidol.ac.th/project/geriatrics/net...



หมายเลขบันทึก: 624683เขียนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2017 23:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2017 23:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท