วิธีแก้นอนกรน


วิธีแก้นอนกรน เพื่อลดอันตรายจากการนอนกรนที่มีภาวะการหยุดหายใจขณะหลับ

วิธีแก้นอนกรนโดยแพทย์ที่ชำนาญในการประเมินความรุนแรงของโรคเฉพาะด้านนี้โดยตรง และรักษาโดยวิธีไม่ผ่าตัด เพื่อแยกกรณีนอนกรนชนิดไม่อันตรายหรือไม่มีอันตราย

วิธีแก้นอนกรน ไม่ต้องผ่าตัด ในผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนกรน ถ้ารักษาโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจ นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลการรักษาดีมากโดยไม่ต้องผ่าตัด คนเราเมื่อนอนหงาย ลิ้นและลิ้นไก่จะตกไปทางด้านหลัง ตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนอนหลับสนิท ซึ่งเป็นเวลาที่กล้ามเนื้อต่างๆ ทั่วร่างกายมีการหย่อนคลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย ทางเดินหายใจบริเวณที่อยู่ด้านหลังต่อลิ้นและลิ้นไก่จะแคบลงอีก เหตุการณ์นี้ในคนปกติ ไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร เพราะทางเดินหายใจเดิมกว้างอยู่แล้ว แคบลงไปเล็กน้อย ก็ยังหายใจได้ดี
แต่ในคนที่เป็นโรคนี้ จะมีช่องคอแคบ ทางเดินหายใจส่วนนี้จะตีบแคบหรืออุดตันได้ เมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีเสียงกรนตามมาซึ่งหากไม่มีวิธีแก้นอนกรน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากน้อยน้อย แค่รำคาญจนถึง โรคแทรกซ้อนมากมาย โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง

ผลเสียจาก อาการนอนกรนที่มีการหยุดหายใจขณะหลับอาทิ เช่น

1. ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่พอ หรืออาจเกิดอุบัติเหตุในการขับรถหรือการควบคุมเครื่องจักรกล
2. ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความสามารถในการจดจำลดลง หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ
3. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ มากขึ้น เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง เช่น อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด ได้มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร
4. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ

เมื่อทราบว่าเป็นโรคนอนกรน ต้องหาวิธีแก้นอนกรนที่ถูกต้องตามอาการ อาจจะเริ่มต้นจากการศึกษาข้อมุลด้วยตัวเองก่อน จากนั้นเรื่มปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ
คงจะไม่ใช่เรื่องสนุกแน่นอนหากมีใครสักคนในบ้านที่กำลังพบว่าตัวเองมีปัญหา กับการนอนกรนอยู่ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณเองหรือคนที่นอนอยู่ข้างๆทุกวัน

โดยหากรู้ตัวว่ามีอาการนอนกรนเกิดขึ้นก็อาจจะใช้ 4 วิธีแก้นอนกรน ในเบื้องต้น

1. หมอนแก้นอนกรน ใช้หมอนหนุนให้ศีรษะสูงขึ้นกว่าปรกติเล็กน้อย (อย่าให้สูงเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดการปวดต้นคอได้) รวมทั้งไม่ควรจะใช้หมอนที่มีความนุ่มเกินไปด้วย
2. เปลี่ยนท่านอน หากปรกติเป็นคนที่นอน หงายก็ให้ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีนอนตะแคง ดูเนื่องจากจะเป็นการช่วยลดความดันที่เกิดขึ้นในช่องทางเดินอากาศภายในลำคอ ได้
3. ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายใแก้นอนกรนนช่วงเย็นหรืออย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนที่จะเข้านอน เนื่องจากถ้าหากว่ามีอาหารตกค้างอยู่ภายในกระเพาะมากจนเกินไป(เช่น เนื้อสัตว์ อาหารที่มีไขมันสูงๆ) ก็จะทำให้กะบังลมเกิดการถูกกดทับ จนมีผลให้การไหลเวียนของอากาศในร่างกายติดขัด
ควรงดการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ เพราการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการผ่อนคลายลงไป กว่าเดิม โดยเฉพาะอวัยวะภายในลำคอทำให้เกิดการตีบตันได้ง่ายมากขึ้น
สังเกต การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาแก้แพ้ต่างๆ หรือยานอนหลับ หากว่าคุณรู้ตัวว่านอนกรนรวมทั้งใช้ยาเหล่านี้อยู่ก็ควรปรึกษาแพทย์ว่าจะ เปลี่ยนหรือหาวิธีการรักษาอื่นได้หรือไม่ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจมีผลทำให้การหายใจทำได้ช้าลงและสั้นขึ้นกว่าเดิม
4. ลด ความอ้วน ออกกำลังกาย โดยเฉพาะในผู้ชายมีโอกาสเกิดได้มากกับผู้ที่กำลังอยู่ในภาวะโรคอ้วนด้วย เพราะไขมันที่พอกอยู่ในบริเวณลำคอจะมีผลทำให้การหายใจทำได้ไม่สะดวก และมีโอกาสทำให้เกิดเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับได้อีกด้วย
แต่ถ้าหากว่ารักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา

ซึ่งแนวทางการแก้นอนกรน โดยใช้อุปกรณ์แก้นอนกรน ทำได้ดังนี้
ใส่ฟันยาง เหมาะกับผู้ที่มีอาการในระดับปานกลาง โดยฟันยางจะช่วยไปช่วยเปิดทางเดินหายใจส่วนต้นให้กว้างมากขึ้น
การผ่าตัด ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ ว่าจะทำการแก้ไขอวัยวะในส่วนใด
การ ใช้เครื่องเป่าทางเดินหายใจ หรือที่เรียกว่าเครื่อง cpap mask เป็นการแก้นอนกรนที่ให้ผลการรักษาที่ดี โดยเครื่องนี้จะไปทำการขยายทางเดินหายใจไม่ให้เกิดการตีบตันในขณะ หลับ

หรือ บางท่านอาจจะใช้ยาแก้นนอกรน อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้วิธีแก้ไข ควรมีการปรึกษาแพทย์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพท่านเอง
การรักษานอนกรน นั้นถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นมากอย่าคิดว่าอาการที่เกิดขึ้น นี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแค่แยกตัวไปนอนคนเดียวไม่รบกวนคนอื่นก็เป็นการ แก้ปัญหาได้แล้วเพราะนั่นเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการแก้ ปัญหาที่ปลายเหตุ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงจนเป็นอันตรายกับร่างกายในอนาคตนั่น เอง

คำสำคัญ (Tags): #วิธีแก้นอนกรน
หมายเลขบันทึก: 624391เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2017 14:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2017 14:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท