Intersteller หนังเรื่องนี้เป็นสุดยอดที่ผมดูหลายรอบมากๆ แต่ก็ไม่ได้เขียนสักที หนังเรื่องนี้เติมเต็มทุกอย่างในชีวิตของคนที่สนใจวิทยาศาสตร์อย่างผม ...ผมชอบทำอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก อ่าน ดูหนัง ประดิษฐ์กล้องดูดาว ทดลอง จนมาเรียนวิศวะ ... ทุกวันนี้สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ของจิตใจ ไปเรียน Positive Psychology ผมก็ยังชอบอ่าน ชอบทดลอง .. ผมตามเรื่องดวงดาว การค้นพบอะไรใหม่ๆ ยานอวกาศ หลุมดำ สสารมืด มาตลอดทั้งชีวิต ...หลุมดำ ความลึกลับแห่งจักรวาล ว๊าว... เรื่องนี้เป็นทุกอย่าง เพราะทำให้ผมเห็นหลุมดำเป็นครั้งแรก ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกมาให้คำปรึกษาเชิงทฤษฎีอย่างไกล้ชิด
หนังเริ่มจากโลกกำลังถึงกาลสิ้นสุด ด้วยป่าหมด เต็มไปด้วยพายุทราย ปลูกอะไรไม่ได้ ประเทศเริ่มล่มสลาย เริ่มกลายเป็นยุคมืด ...เราจำเป็นต้องทำอะไรใหม่ ค้นหาที่อยู่ใหม่ เพราะอีกในรุนเดียวจะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอยู่ในโลกนี้ได้อีกต่อไป...ที่สุดก็มีการส่งคนออกไปจริงๆ จนค้นพบมิติของเวลา และที่สุดอารยธรรมของโลกก็ไปต่อได้
ถ้าจะมาถอดบทเรียนเรื่องนี้เราเห็นอะไรครับ ...เห็นเรื่องหนึ่งว่าคนรุ่นก่อนทำอะไรกับคนรุ่นหลัง ...เหมือนเขาใช้ชีวิตเพื่อทำให้รุ่นของตัวเองมีความสุขเท่านั้น โดยไม่มองว่าอะไรที่ตัวเองทำไปจะส่งผลต่อคนรุ่นต่อไปหรือไม่ อารยธรรมล่มสลายทันที อยู่ไม่ได้
เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงคำคมของคนกรีกโบราณ ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดภูมิปัญญาของโลกประเทศหนึ่ง เอาเป็นว่า Democarcy ประชาธิปไตยก็มาจากกรีก ปรัชญากรีก มหาวิทยาลัยก็มาจากกรีก ภาษา กฎหมาย วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หลายเรื่อง คนต่อยอดมาจากสุดยอดประเทศเล็กๆ ที่เจริญเรืองรองด้วยอายรธรรมแห่งความคิด
เป็นไปได้อย่างไรประเทศเล็กๆ ขนาดประมาณเขมร กลายเป็นขุมพลังปัญญาของโลกมาตลอด 2,000 ปีเทียบเท่าอินเดีย และจีน ...
ผมเดานะครับ น่าจะมาจากอะไรทำนองนี้ ดูคำคมที่ผมอยากพูดถึง...
เป็นไงครับน่าจะเป็นคำตอบของอารยธรรมกรีก น่าจะมีคนทำอะไรเพื่อคนรุ่นหน้ามากพอควร คุณเคยเห็นคำคมแบบนี้ในสังคมเราหรือไม่ครับ ...เท่าที่ผมถามมามีแต่คนบอกว่า ไม่มี
ชะตากรรมของโลกยุค Interstellar จึงจบลงเช่นนั้น
เรื่อง Interstellar ทำให้ผมเสียวสันหลังอยู่ครับ ..เพราะมันไกล้ตัวมากๆ
2 ปีก่อน มีคนในเมืองผมบ่นว่า “น้ำจะหมดเขื่อนแล้ว รัฐจะช่วยอะไรเรา”
ผมดูแล้วสมเพชเมืองนี้ เมืองนี้เป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำในระดับภูมิภาค ...มีคนเก่ง อาจารย์จำนวนมากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับโลก ส่วนในเมืองมีศิษย์เก่านักธุรกิจ นักการเมืองหลายคนจบมหาวิทยาลัยป.ตรี โทเอก จากมหาวิทยาลัยดังๆ ทุกคนเก่งหมด ...มีอิทธิพลต่อการเมืองไปถึงส่วนกลาง ...ดูแล้วมีศักยภาพที่จะเนรมิตอะไรก็ได้ โดยอาศัยกลไกที่มีอยู่ แต่ไหงปล่อยให้น้ำหมดเขื่อน 20 ปีที่แล้วทำอะไรกันอยู่
เป็นไปได้ไหมว่าเมืองนี้คนในเมืองทำทุกอย่างเพื่อ Generation ของตนเอง จัดเต็ม ไม่มีใครสนใจจริงใจว่าจะส่งมอบเมืองแบบไหนให้ลูกหลานในอนาคต คนส่วนใหญ่ทำเพื่อตนเอง และลูกหลานตระกูลตนเอง
แน่นอนครับคุณจะเห็นแผนพัฒนาเมืองที่เน้นเศรษฐกิจ เป็นศูนย์กลางโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด ..แต่ลืมป่า ลืมระบบนิเวศน์
ผมว่าเป็นอย่างนี้ต่อไป เราจะเห็นการแย่งชิงทรัพยากรกัน ที่สุดจะเห็นการฆ่ากันตายแน่ๆ
ผมว่าตอนนี้โลกเราน่ากลัวครับ
ผมว่ายุดนี้เป็นยุคที่ประเทศไทยต้องการการเปลี่ยนผ่าน ต้องการคำตอบอะไรบางอย่าง ประเทศไทยหน้าตาใหม่ ที่ต้องอาศัยคนไทยคิดอะไรใหม่ๆ โชคดีที่มีอะไรมาให้ขบคิดอะไรใหม่พอดี
ตอนนี้ผมเห็นแนวโน้มครับ ล่าสุดผมอ่านหนังสือเรื่อง The Power of Meaning ผู้เขียนเริ่มพูดถึงแนวโน้มใหม่ ที่เรียกว่ายุคแห่งการตื่นรู้ (Awakening) ที่ตอนนี้คนในโลกเริ่มตื่นจากความเชื่อเดิม ที่แต่เดิมทำอะไรเน้นวัตถุ ความร่ำรวยของตัวเอง ..มามุ่งหาความหมายในชีวิต (Meaning) มุ่งหาจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ (Purpose)
สองคำนี้อธิบายด้วยคำคมของ Picasso ที่ว่า ความหมายของชีวิตคือการค้นพบพรสวรรค์ของตนเอง ส่วนจุดประสงค์ของชีวิตคือการนำเอาพรสวรรค์ของตัวเองไปสร้างประโยชน์ให้โลก
ผมต่อยอดด้วยอีกนิดก็คือ “โดยคำนึงถึงคนในรุ่นถัดไปด้วย”
พูดง่ายๆ การพัฒนาคน องค์กร ทั้งรัฐ ทั้งเอกชน ควรมีแง่มุมที่ว่า จะทำอะไรบางอย่างทั้งๆเป็นมรดก ส่งต่อสิ่งดีๆ ความคิดดีๆ ให้เป็นมรดกกับคุนรุ่นถัดไป ทั้งๆที่รู้ว่าคนในรุ่นคุณอาจไม่ได้ประโยชน์เลย
ควรมีองค์ประกอบนี้อยู่ใน Vision Mission ของคน และองค์กรที่มีอิทธิพลครับ
เช่นนักธุรกิจสองคนในอเมริกา เติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจนมากๆ ทั้งครอบครัวดิ้นรนไปวันๆ ..บางวันไม่มีกิน แต่กลับมีแม่ที่มีสุขภาพจิตดีมากๆ ...วันไหนไม่มีเงินซื้อกับข้าม คุณแม่ก็จะมาพูดเวลากินข้าวด้วยกันว่า ... “ดีจังเลยไม่มีเงิน จะได้ไม่ต้องตัดสินใจซื้ออะไรให้มันยาก แถมหุ่นดีขึ้นด้วย” ... สองพี่น้องรู้สึกว่าบ้านไม่เคยมืดมิด เพราะมีแสงสว่างเป็นพลังใจจากแม่มาตลอด... เขารู้สึกมาตลอดว่าคนยุคนี้สุขภาพจิตย่ำแย่ .
เมื่อมีโอกาสทั้งสองก่อตั้งบริษัท Life is Good ... แนวคิดคือออกแบบเสื้อผ้าที่มีคำคม รูปภาพ ที่สะกิดอารมณ์บวก การมองโลกในแง่ดี ... ซึ่งกลับขายดีมากๆ ต่อมาทั้งสองมองว่าการมองโลกในแง่ดี ทำให้ทั้งสองสามารถปรับตัว หาหนทางสร้างความสำเร็จได้ แม้จะมาจากชีวิตที่คิดลบก็ตาม ซึ่งก็ตรงกับจิตวิทยาบวกสมัยใหม่ ทั้งสองเลยตั้งมูลนิธิ Life is Good Kids Foundation โดยเน้นการฝึกอบรมวิธีการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เด็กชายขอบ ที่เจอปัญหาครอบครัว ถูกทารุณกรรมในทุกรูปแบบ โดยเน้นการให้ทุนนักวิจัยเพื่อค้นหาพัฒนาแนวทางให้เด็กมองโลกในแง่บวก และค้นพบหนทางในชีวิต ..ปัจจุบัน Life is Good หักเงินกว่า 10% ของผมกำไร เข้ามูลนิธินี้
ชัดครับ บริษัทนี้ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า แต่บริษัทนี้อยู่อย่างมีจุดประสงค์ (Purpose-driven Company) โดยบริษัทเกิดจากการที่เจ้าของค้นพบความหมายในชีวิต (Meaning) ซึ่งก็คือการได้รับประสบการณ์ดีๆ จากแม่ แล้วอยากส่งต่อให้คนในสังคม.. ในขณะเดียวกันก็อุทิศทรัพยากรบางส่วนเพื่อสร้างคนในรุ่นนี้และรุ่นหน้า ...
บริษัทนี้ทำแบบที่คนกรีกโบราณพูดไว้เป๊ะ
ย้อนกลับมาในไทย คุณเคยเจอบริษัทในไทยบริษัทไหน ที่คิดอะไรอย่างนี้ไหมครับ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ที่มีอำนาจทุน ความรู้ การเมือง... ถ้ามีช่วยมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ เพราะตอนนี้ที่เห็นก็คือ “จะเป็นใหญ่ เป็นที่ 1 ในเอเชียในด้าน บลา บลา.. ในกี่ปีบลา บลา ”
นี่เป็นเป้าหมายแบบที่ทำเพื่อคนรุ่นนี้ครับ ...แทบไม่มีองค์ประกอบไหนทำเพื่อคนรุ่นหน้า... ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าบริษัทในไทย ที่เต็มไปด้วยมันสมอง คิดแต่เป็นที่ 1 เพื่อนคนในรุ่นนี้ ป่าหมด ดินหมด ที่สุดประเทศไม่เหลืออะไรแน่
ใครที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดที่ทำแบบคนกรีกโบราณว่าไว้...ในหลวงร.9 ครับเอาแค่เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเรื่องเดียวก็ตอบโจทย์เพื่อคนรุ่นนี้และคนรุ่นหน้าแล้ว ... เอาเรื่องปลานิลที่ท่านเพาะเลี้ยงแล้วมองเป็นมรดกให้คนไทยได้กินโปรตีนดีๆ นี่ก็สุดๆแล้ว
เราไม่ว่ากันครับ พอเถอะ ผมว่าเราต่างก็ทำดีที่สุดแล้ว...และเป็นฐานที่ดีที่จะก้าวไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่แต่มีความหมายมากกว่าเดิม ..เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาหาทางออกครับ
ในสาขาวิขาการพัฒนาองค์กรของผม เรามีเครื่องมือพัฒนากลยุทธ์ให้องค์กรครับ เราเรียกว่า SOAR Analysis นั้นคือ Strenghts จุดแข็ง Opportunies โอกาส Aspiration วิสัยทัศน์ Results ผลลัพธ์ มีรายละเอียดทำง่ายๆดังนี้ครับ ลองมาดูรายละเอียด โดยผมจะยกตัวอย่างบริษัท Life is Good ประกอบไปด้วย
สำหรับในหน่วยงานที่มีวิสัยทัศน์อยู่แล้ว...ก็ทำได้ แล้วเป็นประโยชน์ด้วย ยังคุยกับผู้บริหารไม่ได้ ก็ทำในส่วนที่คุณทำได้ไปก่อน ..เช่นที่หนึ่งที่ผมไปทำมา ...
Strengths = มีช่างที่มีประสบการณ์ช่ำชอง อยู่มาหลายปี
Opportunities =นึกไม่ออก เพราะจะเกษียณแล้ว บางคนเรียกพวกผมว่า Deadwood ไม่อยากทำอะไร
Aspiration = ผมเลยถามว่า... “เห็นว่าลูกหลานคนในถิ่นนี้ มีโอกาสจะเข้ามาทำงานที่นี่...ดังนั้นก่อนท่านจะออกไป ท่านอย่างส่งมอบโรงงานแบบไหนให้ลูกหลาน โรงงานแบบไหนที่ท่านจะไว้วางใจให้ลูกหลานเข้ามาทำงาน” สักพักก็เริ่มมีการคุยกัน “ผมว่า Safety ยังไม่ดีพอ” ที่เหลือพยักหน้า...
คราวนี้เห็นโอกาสที่จะพัฒนางานเพียบ มีอะไรให้ทำเยอะมาก มีไฟคิด Action Plan ทันที
Results ไม่ต้องห่วง โรงงานจะวิสัยทัศน์เป็นไงไม่รู้ แต่งานของคุณจะดีขึ้นแน่นอน แล้วมีโอกาสเมื่อคุณเติบโตขึ้นค่อยว่ากัน
สุดท้ายแล้วผมฝันเห็นประเทศไทย 4.0 ที่เต็มไปด้วยคนที่ค้นพบพรสวรรค์ตัวเอง แล้วนำไปสร้างสรรค์สังคม ...ประเทศที่เต็มไปด้วยบริษัท 4.0 ที่ทำเพื่อคนรุ่นนี้และคนรุ่นต่อไป ประเทศที่สวยงาม มีอากาศดี ป่าเยอะ สวย คนอยู่อย่างเป็นสุข ทำงานไปยิ้มไป เ เราเป็นประเทศแห่งการตื่นรู้ที่แท้จริง ประเทศไทย 4.0.. ผมว่าทำได้เพราะในหลวงทำให้ดูแล้ว ... ท่านปูทางไว้แล้ว
วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ
เจอ โจ จันใด บอกว่า Life is easy why do we make it so hard?
เอามาฝากด้วยครับ
ประเทศยังเปนประเทศไสยศาสตร์อยู่เลย จะ Apply เทคโนโลยีอะไรมายังไม่รู้ ไม่ได้ประเมิณอะไรทังสิ้น ทำตามยถากรรมการพัฒณาไม่รู้กี่ต่อกีเเผนพัฒณาเศรษฐกิจสังคมเเล้ว มันจะเปน 4.0 ได้ไง คนยังต้องมีบุญคุณต่อกันในระบบศักดินาล้าหลัง กว่าระบอบคอมมูนิสเศรษฐกิจไม่เสรีเสียอีก ระบบไพร่สักเลข ที่ไม่เคยคิดว่าค่าเเรงขั้นต่ำ 300 คนอยู่ได้จริงมั้ย ครอบครัวเเตกเเยก พ่อเเม่ลูกอยู่คนละทาง พรรคเเรงงานพรรคกรรมกรไม่เคยมี รัฐเอาเเต่ตีกรอบให้ประชาชน 4.0 บ้านบรรพบุรุษอัลไตล?