ในการประชุมคณะกรรมการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง การแลกเปลี่ยนความเห็นในหมู่กรรมการ กับท่านอธิการบดีเอง และทีมบริหารของท่านอธิการบดี ทำให้ผมสะท้อนคิดว่า มหาวิทยาลัยไทยในยุคนี้ ถือว่าอยู่ในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่
การบริหารมหาวิทยาลัยจึงต้องมุ่งบริหารการเปลี่ยนแปลง แต่ภาพ macro ของการบริหารระบบอุดมศึกษาไทย ยังไม่ได้ขับเคลื่อนการบริหารการเปลี่ยนแปลงมาเพียงพอ
คนมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมด ไม่ตระหนักว่า หากไม่ปรับตัวอย่างรวดเร็วจริงจัง มหาวิทยาลัยจะถูกกระทำจาก disruptive change ตัวเองก็จะถูกกระทบอย่างรุนแรง
disruptive change ส่อสภาพของการทำลายของเก่า โดยของใหม่ที่เหมาะสมกว่า ใช้การได้ดีกว่า ตลาดต้องการมากกว่า
การทำลายคือการสร้างสรรค์ ต้องทำลาย เพื่อสร้างใหม่ สังคมจึงจะเจริญ
ในมหาวิทยาลัยไทย สิ่งที่ต้องทำลาย (อย่างมีศิลปะ) คือ comfort zone
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ม.ค. ๖๐
เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าจะต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว
การบริหารการเปลี่ยนแปลงในมหาวิทยาลัย เป็นเรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยต้องตระหนัก มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งสั่งสมคนที่มีความรู้ แต่ไม่เคยนำองค์ความรู้ออกมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาใดใดทั้งสิ้น มองง่ายๆจากดูจากคุณสมบัติของรองอธิการบดีแต่ละคนว่ามีความเชี่ยวชาญอะไรกันบ้าง รองฯนโยบายและแผนงานมีความรู้เรื่องการนำข้อมูลสารสนเทศมาใช้บ้างไหม หรือแต่งตั้งเพียงให้ขึ้นมาเพื่อยกมือสนับสนุน หรือเห็นว่าเป็นพรรคพวกของตนเอง เคยได้ยินรองฯนโยบายและแผนงานถามว่า
Bench marking ไปทำไม ทั้งๆที่มหาวิทยาลัยอุตส่าห์จ้างวิทยากรจากกพร.มาสอนอบรมกันเป็นปีๆ คิดแล้วเศร้าใจ การบริหารความเสี่ยงก้อควรจะนำมาใช้ในทุกๆเรื่อง การบริหารความเสี่ยงด้านการออกกฎระเบียบที่อาจส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มใหญ่ พร้อมทั้งเตรียมการรองรับสนับสนุนผู้บริหารระดับคณะหากได้รับผลกระทบ ผู้บริหารต้องรู้และเป็นผู้นำในทุกเรื่องไม่ใช่ฟังแต่ลูกน้อง โดยเฉพาะสายสนับสนุน(สอพลอ)กันไปวันๆๆ มิฉะนั้นต่อไปคงมีคดีฟ้องศาลปกครองกันรายวันเลยทีเดียวค่ะ