สุนัข


ความสอดคล้องของอิสลามกับวิทยาศาสตร์

ทำไมอิสลามจึงไม่เลี้ยงสุนัข: อธิบายได้โดยวิทยาศาสตร์

                ผมเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่มีบ้านอยู่ติดกับคนไทยศาสนาพุทธ ซึ่งเขาได้เลี้ยงสุนัข เวลาผมทำงานอยู่กับบ้านก็มักจะได้ยินมันเห่า บางครั้งก็รำคาญเพราะเสียงบางครั้งก็เพราะมันมาปัสสาวะรดล้อรถของผม ผมจึงสงสัยทำไมมุสลิมจึงไม่เลี้ยงสุนัข คนไทยส่วนมากนิยมเลี้ยงสุนัขเพราะมันเป็นสัตว์ที่ดีที่สุด แต่ในทางกลับกันทำไมมุสลิมในประเทศไทยหรือทั่วโลกจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อสัตว์ชนิดนี้ จากบทความบางตอนของ ดร.เจราร์ด ฟินส์ ไทเมอร์ นักวิทยาศาสตร์เยอรมันได้เขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ดังนี้

การที่มีคนจำนวนมากมีความสนใจในการเลี้ยงสุนัขไว้เป็นสัตว์เลี้ยง เมื่อเร็วๆนี้ทำให้เราจำเป็นต้องเตือนประชาชนให้เห็นถึงอันตรายที่เกิดขึ้นจากมัน โดยเฉพาะสุนัขที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงนี้จะถูกกอดจูบและมันก็จะเลียแขนของเด็กและผู้ใหญ่ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือมันจะเลียจานและภาชนะที่มนุษย์ใช้สำหรับกินอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากมันจะไม่เป็นการถูกสุขลักษณะอนามัยแล้ว การปล่อยสุนัขให้ทำเช่นนี้ยังเป็นลักษณะที่ไม่ดีและเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับผู้ที่มีรสนิยมดีด้วย อย่างไรก็ตามเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้และเราจะปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของบรรดาครูที่มีรสนิยมดีเป็นผู้พูดถึง

 

แต่บทความชิ้นนี้มีเจตนาที่จะเสนอการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์บางอย่างมากกว่า จากทัศนะทางการแพทย์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เรากำลังเกี่ยวข้องอยู่ในขณะนี้ อันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นจากการเลี้ยงและเล่นกับสุนัขนั้นเป็นสิ่งที่จะละเลยเสียมิได้ หลายคนต้องจ่ายค่าโง่ในเรื่องนี้ไปด้วยราคาแพงมาแล้วเพราะพยาธิที่สุนัขเป็นพาหะนั้นได้เป็นสาเหตุของโรคระบาดและบางครั้งมีผลถึงแก่ชีวิต

 

พยาธิชนิดนี้ถูกพบในตัวมนุษย์ ในปศุสัตว์และในหมู แต่ชนิดที่มีการพัฒนาเต็มที่แล้วนั้นถูกพบในตัวสุนัขและสุนัขป่าเท่านั้น ส่วนในแมวนั้นแทบจะไม่พบ พยาธิชนิดนี้แตกต่างไปจากพยาธิชนิดอื่นๆ ก็ตรงที่มันตัวเล็กและอาจมองไม่เห็นได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครพบมันจนกระทั่งเร็วนี้

เขากล่าวต่อว่า:

ในทางชีววิทยา กระบวนการในการพัฒนาของพยาธิชนิดนี้มีลักษณะที่ไม่เหมือนใครในบางสิ่งบางอย่าง ในแผลฟกช้ำที่เกิดจากพยาธิชนิดนี้ พยาธิตัวหนึ่งจะแตกหัวออกเป็นหลายหัวซึ่งหัวเหล่านี้จะแพร่ขยายและก่อให้เกิดแผลฟกช้ำและฝีชนิดต่างๆ หัวของพยาธิเหล่านี้จะพัฒนาเป็นพยาธิเต็มตัวได้เพียงในต่อมทอลซิลของสุนัขเท่านั้น ในมนุษย์และลัตว์อื่นๆมันจะปรากฏเป็นแผลฟกช้ำและฝีที่แตกต่างไปจากตัวพยาธิเองโดยสิ้นเชิง ขนาดของฝีในสัตว์นั้นอาจโตเท่ากับขนาดของผลแอบเปิล ขณะเดียวกัน ตับของสัตว์ที่ได้รับพยาธิชนิดนี้อาจจะโตขึ้นถึงห้าหรือสิบเท่าของขนาดปกติ ส่วนในมนุษย์นั้น ฝีที่เกิดจากพยาธิชนิดนี้อาจโตเท่ากับกำปั้นหรือเท่าหัวเด็กทารก ฝีนี้จะเต็มไปด้วยน้ำเหลืองที่มีน้ำหนักตั้งแต่สิบถึงยี่สิบปอนด์ ถ้าหากมนุษย์ได้รับพยาธิชนิดนี้เข้าไปในตัว มันก่อให้เกิดอาการบวมหรืออักเสบต่างๆในปอด กล้ามเนื้อ ม้าม ตับและสมอง และอาการต่างๆ อีกมากมายที่ผู้เชี่ยวชาญในปัจจุบันก็ยังไม่รู้จัก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอาการบวมหรืออาการอักเสบนี้จะถูกพบที่ไหน มันก็ล้วนแต่อันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของคนไข้ทั้งสิ้น

ที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้นก็คือถึงแม้จะมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชีวิต ต้นกำเนิดที่มาและการพัฒนาของมัน แต่เราก็ยังไม่สามารถที่จะหาวิธีเยียวยารักษามันได้ ยกเว้นในบางกรณีที่พยาธิเหล่านี้ตายไปเองอาจจะโดยเพราะภูมิต้านทานที่ร่างกายมนุษย์สร้างขึ้น แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกินที่ถึงแม้ว่าพยาธิเหล่านี้จะตายไป มันก็จะทิ้งความเสียหายไว้อย่างหนัก ยิ่งไปกว่านั้น วิชาเคมีที่ใช้ในการควบคุมโรคก็ไม่สามารถที่จะผลิตที่เป็นประโยชน์สำหรับการผ่าตัดส่วนของร่างกายที่เป็นฝีนั้นออกไปได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ เราควรที่จะต้องใช้วิธีการทุกอย่างที่มีอยู่ในการต่อต้านโรคอันน่ากลัวนี้และช่วยมนุษย์ไว้ให้พ้นจากอันตรายของมัน

ศาสตราจารย์นูเอลเลอร์ หลังจากที่ได้ผ่าตัดชันสูตรศพมนุษย์ในเยอรมันแล้วได้พบว่า โอกาสที่คนจะติดโรคจากพยาธินี้อย่างน้อยที่สุดก็หนึ่งเปอร์เซ็นต์ แต่ในบางที่เช่นในดาลมาเทีย ไอซ์ แลนด์ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย และฮอลแลนด์ซึ่งมีการใช้สุนัขลากเลื่อน อัตราการมีพยาธิชนิดนี้มีถึง 43 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากเรารวมความทุกข์ทรมานของมนุษย์อันเกิดจากโรคนี้กับการสูญเสียเนื้ออันเกิดจากการที่วัวควายได้รับจากพยาธินี้และอันตรายอันถาวรที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์เพราะการมีอยู่ของพยาธิชนิดนี้แล้ว เราไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยต่อปัญหานี้ได้เลย

 

บางที วิธีการที่ดีที่สุดในการขจัดปัญหานี้ก็คือการกำจัดพยาธิในตัวสุนัขและอย่าปล่อยให้มันแพร่ขยายออกไปทั้งนี้เนื่องจากบางครั้งเราจำเป็นต้องเลี้ยงสุนัขไว้ แต่เราจะต้องไม่เพิกเฉยในการที่จะรักษาสุนัขเมื่อจำเป็นโดยกำจัดพยาธิในต่อมทอลซิลของมันและบางครั้ง เราต้องตรวจรักษาสุนัขเลี้ยงแกะและสุนัขเฝ้าบ้านเป็นประจำ มนุษย์สามารถที่จะปกป้องชีวิตและสุขภาพของเขาได้ด้วยการอยู่ห่างจากสุนัข เขาจะต้องไม่กอดกับมัน ไม่เล่นกับมันหรือปล่อยให้มันเข้ามาใกล้เด็ก เด็กจะถูกสอนไม่ให้เล่นกับสุนัขหรือกอดจูบมัน เราจะต้องไม่ให้สุนัขเลียมือเด็ก หรือปล่อยให้มันเข้ามาในสถานที่ที่เด็กเล่น แต่เป็นเรื่องโชคร้ายอย่างยิ่งที่สุนัขได้ถูกปล่อยให้เดินเพ่นพ่านไปทั่วไปโดยเฉพาะในสถานที่ที่เด็กเล่นและถ้วยจานของเด็กกระจัดกระจายไปทั่วบ้าน สุนัขจะต้องมีถ้วยอาหารของมันเองและมันจะต้องไม่ถูกปล่อยให้เลียถ้วยและจานที่คนใช้ มันจะต้องไม่ถูกปล่อยให้เข้าไปในร้านขายของชำ ร้านอาหารหรือตลาด กล่าวโดยทั่วไปแล้ว เราจะต้องคอยระวังอย่างเข้มงวดกวดขันกันไม่ให้เข้าไปสัมผัสติดต่อกับสิ่งใดก็ตามที่คนเราใช้สำหรับกินและดื่ม

 

 เราได้รู้แล้วว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้ห้ามการคลุกคลีอยู่กัยสุนัขและท่านก็ได้เตือนเราว่าอย่าปล่อยให้มันเลียถ้วยจานและอย่างเลี้ยงมันไว้ถ้าไม่จำเป็น มันเป็นไปได้อย่างไรที่คำสอนของท่านซึ่งเป็นคนอาหรับที่ไม่รู้หนังสือช่างสอดคล้องกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แน่นอนเราไม่สามารถที่กล่าวอะไรได้นอกจากจะยกถ้อยคำในอัลกุรอานของพระผู้เป็นเจ้าคืออัลลอฮ.(ซ.บ.)ที่กล่าวว่าความว่า:

            และเขาไม่ได้พูดตามอารมณ์ มันมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะหฺยูที่ถูกเปิดเผย (กุรอาน 53:3-4)

           

           

หมายเลขบันทึก: 62062เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2006 12:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน 2012 01:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท