คำสำคัญคำหนึ่งในบริบทของวิชาการว่าด้วยเรื่องการแสวงหาความรู้คือคำว่า “ญาณวิทยา”
(Epistemology) ซึ่งโดยความหมายแปลว่า “ทฤษฎีของความรู้” (Theory of Knowledge) ส่วนในเชิงเนื้อหานั้นข้อสนทนาของญาณวิทยาก็คือ การสนทนาภายใต้คำถามที่ว่า “ความรู้แต่ละชุดเกิดขึ้นมาได้อย่างไร อิงอยู่กับปรัชญาหรือโลกทัศน์แบบใด”
ปัญหาสำคัญเมื่อกล่าวถึงคำว่า “ความรู้” ก็คือการเข้าใจว่าความรู้ดำรงตนอยู่อย่างไร้ปัจจัยกำหนด (neutral) ส่งผลให้ผู้คนไม่ตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปของความรู้แต่ละอย่าง และยอมรับความรู้นั้นๆ ในฐานะที่เป็นข้อสรุปอันไม่ต้องสงสัย แต่ในการศึกษาด้านญาณวิทยานั้น เป็นการศึกษาที่ตั้งอยู่บนความคิดที่ว่า ความรู้แต่ละอย่างถูกสร้างขึ้นภายใต้ปรัชญาความเชื่อ และโลกทัศน์ของผู้สร้าง ดังนั้น ผู้สร้างความรู้ที่ยืนอยู่บนปรัชญาคนละชุด ย่อมผลิตความรู้ในเรื่องเดียวกันออกมาแตกต่างกัน
ชาวบ้านในชุมชนท้องถิ่นก็มีกระบวนการสร้างความรู้เพื่อใช้ในชุมชน ทั้งในแง่การแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติในระบบการผลิตทางการเกษตร การจัดการทรัพยากร การจัดการความสัมพันธ์ของคน ฯลฯ ทั้งนี้ความรู้ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นภายใต้บริบทเฉพาะ (situated knowledge) เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์เฉพาะของแต่ละชุมชน ดังนั้นกระบวนการสร้างความรู้ของชุมชนจึงอิงอยู่กับสภาพการณ์ของชุมชน และโลกทัศน์ของคนในชุมชนนั้นๆ กระบวนการเช่นนี้แตกต่างจากกระบวนการสร้างความรู้แบบรวมศูนย์ (centralised) ในระบบการศึกษาที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองปรัชญาว่าด้วยความเป็นรัฐ
ในแง่การพัฒนาประเทศ รัฐได้ผลิตนโยบาย “กลาง” เพื่อใช้กับทุกชุมชนในประเทศ อย่างไรก็ดี บทเรียนของการพัฒนาที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า นโยบายกลางไม่สามารถตอบสนองความจริงที่ว่าชุมชนแต่ละชุมชนมีสภาพที่แตกต่าง และมีปัญหาแตกต่างกันไป ด้วยเหตุนี้วิทยาลัยการจัดการทางสังคม จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการให้ องค์ความรู้ท้องถิ่นได้รับการยอมรับ และถูกนำไปใช้ทั้งในทางนโยบายและวิถีปฏิบัติ เพื่อสร้างสังคมแห่งดุลยภาพและเป็นสุข นั่นก็คือ วิทยาลัยการจัดการทางสังคมจะทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นเกิดกระบวนการวิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ความรู้ของตน รวมทั้งเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ตลอดจนนำเสนอบทบาทในทางปฏิบัติขององค์ความรู้ดังกล่าวต่อสังคม เพื่อให้สังคมเกิดกระบวนการเรียนรู้องค์ความรู้ท้องถิ่นด้วยเช่นกัน
วิทยาลัยการจัดการทางสังคม |
การทำงานของวิทยาลัยการจัดการทางสังคม (วจส.) ที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าโดยกรรมการหรือโดยความร่วมมือกับผู้อื่น ส่วนใหญ่คือ ‘การพัฒนาความรู้’ ซึ่งรวมถึงการค้นหาความรู้ การถอดความรู้ การสร้างความรู้ อย่างไรก็ตามการพัฒนาความรู้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการจัดการความรู้เท่านั้น
|
การจัดการทางสังคมมีหลายระดับ |
ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ในระดับครอบครัว การจัดการกลุ่ม การจัดการบริการชุมชนแบบบูรณาการ การจัดการเรียนรู้และการทำงานในระดับเครือข่าย ตลอดจนการจัดการขบวนการพัฒนาสังคม เป็นต้น |
การจัดการทางสังคม แบ่งเป็น ๘ กลุ่ม ดังนี้ |
๑. การจัดการชีวิต ซึ่งรวมถึงการจัดการด้านสุขภาพอนามัย ชีวิต จิตใจ การวางแผนชีวิต การจัดการครอบครัว การพัฒนาครอบครัว การมีสัมมาอาชีวะ ๒. การจัดการกิจกรรม เช่น งานวัด การทำโครงการต่าง ๆ ๓. การจัดการความสัมพันธ์ ที่จะนำไปสู่ทุนทางสังคมและนำไปสู่การสมานฉันท์ เป็นความสัมพันธ์ที่ป้องกันความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นแบบทวิภาคี หรือพหุภาคี ล้วนเรียกว่าเป็นการจัดความสัมพันธ์ทั้งสิ้น ๔. การจัดการประชากร เริ่มตั้งแต่ในชุมชน สัดส่วนประชากรในชุมชน ๕. การจัดการองค์กร การจัดการบริหารองค์กรแบบมีส่วนร่วม ทำให้ทุกคนทำงานอย่างมีความสุขบนหลักธรรมาภิบาล ๖. การจัดการท้องถิ่น จะมีการจัดการอย่างไร ทำอย่างไรให้ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม ชุมชน เกิดความสมบูรณ์พูนสุข การจัดการท้องถิ่นมีความหมายมากที่สุดในแง่ของการผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกัน ๗. การจัดการความรู้ การค้นหา การเลือกสรร การจัดเก็บ การเผยแพร่ การยกระดับ สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและมีประโยชน์มาก ๘. การจัดการภาวะผู้นำ และทักษะการบริหาร สังคมต้องมีผู้นำ มีนักบริหาร บางครั้งผู้นำและผู้บริหารเป็นคนคนเดียวกัน จัดการอย่างไรให้เกิดภาวะผู้นำ มีผู้นำที่ดีและมีทักษะ |
กลุ่มเป้าหมายที่จะช่วยให้เกิดการพัฒนา |
ได้แก่ ผู้นำชุมชน ชุมชน องค์กรชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ประชาสังคม |
กลุ่มกิจกรรมที่สำคัญของ วจส. |
๑. การจัดการทางสังคม ๒. การจัดการความรู้ ๓. การเรียนรู้ |
ไม่มีความเห็น