เสวนาจานส้มตำ ๑๗ : แพทย์กับการแสวงหาความสุข


ตัวเราเองต่างหากที่เป็นคนขีดระดับความสุขให้แก่ตัวเอง
กลับมาพบกับ เสวนาจานส้มตำ   บันทึกที่แตกต่างจากกาฬสินธุ์ ความจริงแล้ว หัวข้อในบันทึกนี้ ได้พูดคุยในวงส้มตำเมื่อเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมาครับ

อาจจะเรียกได้ว่า แทบจะไม่มีโอกาสเลย ที่คนธรรมดาๆจะมานินทาคุณหมอ หรือคนไข้มาวิพากษ์คุณหมอ ในสถานที่ที่มีบุคลากรทางการแพทย์มากมายเช่นใน gotoknow แห่งนี้



คู่สนทนา 1 :  วันก่อนพาแม่ไปโรงพยาบาลยางตลาด เห็นคุณหมอผู้หญิงคนนึง ทำงานหนักมาก หมอคนนี้พึ่งจบมาได้ไม่กี่ปี และรู้จักคุ้นเคยกับเราดี เจอทีไร ท่าทางเหนื่อยๆอิดโรย เธอบอกว่า ทุกวันนี้เธอทำงานหนักเหลือเกิน  หลายครั้ง เหนื่อยจนร้องไห้ออกมา คิดอยากจะลาออกอยู่หลายครั้ง เพราะไม่มีความสุขเลย ทั้งๆที่ได้ทำตามกฎเกณฑ์เหมือนแพทย์คนอื่นๆทุกอย่าง แถมยังไม่เคยทำอะไรที่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย

คู่สนทนา 2 : ดูในทีวี ละครเกาหลีเรื่อง หมอโฮจุน คนดีที่โลกรอทางช่อง 3 แล้ว มันสะท้อนอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะ  ไม่รู้ว่า คุณหมอในเมืองไทยจะมีคนที่ทุ่มเทรักษาผู้ป่วยเหมือนอย่างหมอโฮจุนสักกี่คน

นายบอน – คุณหมอ แพทย์ พยาบาล หมออนามัย ที่ทำงานด้วยหัวใจมีตั้งเยอะ แต่ไม่ค่อยมีใครรับรู้อีกมาก

คู่สนทนา 2 : คนเป็นหมอทำงานหนักแล้วได้เงินตั้งเยอะ  น่าจะมีเวลาซื้อหาความสุขใส่ตัวได้มั่งนะ เรียนมาก็มากกว่าคนอื่น เป็นบุคคลที่ถือว่าไอคิวสูง ฉลาดมากๆ แต่ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ เรื่องความสุขของตัวเองกลับคิดไม่ออก เป็นไปได้ยังไง

คู่สนทนา 1 :  แต่คุณหมอหลายท่าน แม้จะทำงานหนัก ตรวจคนไข้ทั้งวัน แต่ยังมีรอยยิ้มให้กับคนไข้อยู่ตลอดนะ

คู่สนทนา 2 : แค่รอยยิ้ม ใครก็ปั้นยิ้มได้ ดูอย่างการประกวดนางงาม แต่ละคนยืนยิ้มจนเหงือกแห้ง ยิ้มได้เป็นชั่วโมง เดินออกมาหน้าเวที ก็เปิดปากโชว์ฟันยิ้มทันที


คู่สนทนา 1 : แต่พวกนางแบบที่เดินเร็วๆบนเวที เค้าไม่ยิ้มนะ  ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว รีบเดินฉับๆๆ ออกมาบนเวที แล้วก็หมุนตัว พลิกตัวให้ถ่ายรูป แล้วก็เดินหน้าบูดเข้าไป  หลายคนก็อยากที่จะเป็นนางแบบ นายแบบบ้าง



นายบอน -  นางแบบ เขานำเสนอเสื้อผ้า ต้องเดินและออกลีลาท่าทาง ให้คนดูเห็นสิ่งที่ต้องการนำเสนอให้มากที่สุด แต่นางงาม นำเสนอตัวเอง แสดงออกทางรอยยิ้ม บุคลิกท่วงท่าการเดิน และรูปร่าง

คู่สนทนา 2 : งั้นคุณหมอที่ฉีกยิ้ม ทั้งๆที่เหน็ดเหนื่อยจากการตรวจคนไข้ ต้องการนำเสนอความเป็นกันเอง หรือสร้างภาพอะไรหรือเปล่า ขนาดเราทำงานหนักๆ เหนื่อยแทบตาย ยังยิ้มไม่ออก ได้แต่หอบแฮกๆ

นายบอน – คุณหมอที่มีจุดยืน มีความเมตตา มีอุดมการณ์ในการทำหน้าที่ก็มีมากมาย คุณหมอทั้งตรวจ ทั้งวินิจฉัย และทำอะไรหลายอย่าง เพราะอยากให้คนที่มาหาหมอ หายจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ

คู่สนทนา 2 : แสดงว่า หมอผู้หญิงคนนี้ที่ยางตลาด ไม่มีจุดยืนงั้นหรือ

นายบอน : บางทีแต่ก่อน อาจจะไม่ค่อยได้ทำงานหนักแบบนี้ เลยยังไม่มีความอึดพอ อาจจะมีความอดทนน้อยไปหน่อย หรืออาจจะยังค้นหาตัวเองยังไม่พบ

คู่สนทนา 1 : หมอผู้หญิงคนนี้ ตอนเด็กๆ เรียนกวดวิชามาตลอด  ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเล่นเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆ แต่เธอก็เต็มใจเรียน เพราะอยากให้พ่อแม่ชื่นใจ พอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ขอนแก่นได้แล้ว ก็เรียนพิศษเพื่อเข้า มข.อีก ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่เธอมุ่งมั่นที่จะได้เรียนในคณะแพทย์ศาสตร์ มข.ตามที่ต้องการให้ได้ เพื่อความสุขสบายในวันข้างหน้า

คู่สนทนา 2 : แล้วตอนนี้ สบายไหมล่ะ มาบ่นว่าเหนื่อย ว่าอยากจะลาออก ที่แท้ชีวิตขาดสมดุลนี่เอง เอาแต่เรียนอย่างเดียวไม่ค่อยสังคมกับมิตรสหาย  นอกจากเรื่องเรียนแล้ว เธอรู้เรื่องอะไรมั้ยเนี่ย

นายบอน – เหมือนกับว่า กำลังวิ่งไล่ล่า ไขว่คว้าหาความสุขอยู่ตลอดเวลาเลยนะ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ตรงนั้น คือความสุข แต่เมื่อไปถึง ก็ยังมีเป้าหมายต่อๆไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งไกล   ถ้าเป็นคนอื่นๆที่ไม่มีโอกาส ได้แค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของเธอ จะดีใจมากมายขนาดไหนแล้ว

คู่สนทนา 1 : พอเธอสอบติด ได้เป็นนักศึกษาแพทย์ มข. ทุกคนในครอบครัวของเธอต่างดีใจกันยกใหญ่  แต่ตลอดเวลาที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแพทย์ เธอบอกว่า นั่นยังไม่ใช่ความสุขอย่างที่เคยคาดหวังไว้ ยังคงต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ความสบายในอนาคตต่อไป พยายามทำให้ใบเกรดสวยหรูที่สุด พยายามไขว่คว้า เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เพื่ออนาคตสำหรับการเลือกเรียนต่อเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นสาขาใดก็ตาม

คู่สนทนา 2 : คนที่อยู่กับความสำเร็จมาตลอดจนคุ้นเคย จนไม่รู้สึกยินดีกับสิ่งที่ได้รับ ท่าทางต่อมความสุขจะชำรุดเสียแล้ว ไม่รู้ว่า คุณหมอที่มักจะตรวจโรคให้คนไข้ทุกคน เคยตรวจสุขภาพใจของตัวเองบ้างหรือเปล่านะ

นายบอน – ดูเหมือนว่า เป้าหมายจะขยับไปเรื่อยๆ เพราะเธอพิชิตเป้าหมายที่ตั้งไว้มาได้ตลอด เห็นคุณหมอหลายท่าน ที่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ ทำโครงการออกมาได้ดี ไม่รู้เหมือนกันว่า มีเวลาที่จะเก็บเกี่ยวความสุขจากสิ่งที่ได้ทำสำเร็จไปแล้วบ้างหรือไม่ หรือว่า เสร็จงานอย่างหนึ่งปั๊บ ก็ลุยเรื่องใหม่ต่อทันที


คู่สนทนา 1 : คุณหมอคนนี้ น่าจะเป็นแบบนั้นก้ได้ พอเธอเรียนจบ เธอต้องออกไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ทีแรกเธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจหลังจากได้รับเงินเดือนก้อนแรกของชีวิต แต่พอทำงานไปสักพีก ก็เจอปัญหาสารพัด ตำราที่เรียนมาก็ไม่ได้สอนไว้ว่าจะต้องแก้ปัญหาต่างๆยังไง

นายบอน : ตำราจากชีวิตจริง ประสบการณ์จากชีวิตจริง ชีวิตใครชีวิตมันเท่านั้นที่จะแก้ไขได้

คู่สนทนา 2 :  แล้วเธอจะค้นหาความสุขที่ว่านี้ ได้จากช่วงไหนของชีวิตของเธอกันล่ะ  ตอนเด็กๆ ก็ขยันเรียน อดทนในวันนี้ เพื่อจะได้สบายในวันหน้า แล้ววันข้างหน้าน่ะ มันเมื่อไหร่ละโว้ย !!!!  ทำไมความสุขมันห่างไกลจากตัวเราเสียเหลือเกิน แล้วความสุขสำหรับคุณหมอผู้หญิงคนนี้ มันอยู่ที่ไหนกันแน่

นายบอน – หลายคนทำงานหนัก  บอกว่า ตอนที่เกษียณอายุราชการนั่นแหละ จะได้ทำอะไรอย่างที่ใจอยากจะทำ แต่ที่ผ่านมา เมื่อคิดว่า ถึงจึดที่ใกล้จะได้มันแล้ว แต่แล้ว มันทำไมยังหนีไปอีก ถ้าถึงตอนเกษียณแล้ว วันนั้น จะได้สิ่งที่เรียกว่าความสุขมาครอบครองหรือเปล่า หรือจะต้องค้นหา ตามล่าต่อไปเรื่อยๆ


คู่สนทนา 2 : ไม่รู้เหมือนกันว่า เอาเรื่องนี้ไปบันทึกใน gotoknow แล้ว คุณหมอทั้งหลายจะตอบว่ายังไง แต่ถ้าเรามานิยามความสุขของชีวิตกันใหม่ อย่าไปเที่ยวกำหนดว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือไปนึกเอานิยามความสุขของคนอื่นมาเป็นของเราเอง นี่แหละที่ทำให้ค้นหาความสุขไม่เจอซักที

นายบอน : คุณหมอคนนี้ อาจจะทำงานหนัก จนเครียดมากๆ บางทีเรื่องที่ธรรมดา อาจจะคิดมากจนเกินไป มัวแต่คิดถึงความสุขในวันข้างหน้า แล้ววันนี้ล่ะ มีความสุขไม่ได้หรือ จะใช้ชีวิตในทุกๆวินาทีในวันนี้ให้มีความสุข และตัด ความสุขในวันข้างหน้าออกไปไม่ได้หรือ มองหาความสุขใกล้ๆตัวบ้างก็ได้

คู่สนทนา 2 : เท่าที่ติดตามอ่านบันทึกของุคณหมอหลายท่านใน gotoknow  ตัวเราเองต่างหากที่เป็นคนขีดระดับความสุขให้แก่ตัวเอง ถ้าขีดไว้สูงเกินไป แล้วไปไม่ถึงมัน แล้วก็ต้องมาทุกข์ทรมานใจกับสิ่งที่ตัวเองขีดเอาไว้เอง


คู่สนทนา 1 : นั่นสิทั้งๆที่เธอก็ทำตามกฏเกณฑ์ของสังคมทุกอย่าง เหมือนคุณหมอคนอื่นๆ  คุณหมอคนอื่นๆ ตรวจคนไข้เป็นร้อยๆคนทั้งวัน แต่สามารถมองการทำงานให้เป็นเรื่องสนุกได้ แต่จะมองในมุมไหน คงต้องไปปรึกษากับคุณหมอด้วยกันแล้วล่ะ เพราะเธอเป็นแพทย์ทางด้านอารุยศาสตร์ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า แพทย์อายุรศาสตร์ จะมองการทำงานในแง่มุมไหน ให้เป็นเรื่องสนุกได้บ้าง

.. และนี่คือ เสวนาจานส้มตำ  ในหัวข้อที่เกี่ยวกับแพทย์ครับ


เสวนาจานส้มตำ หมอ การเรียนรู้ มุมมอง วิธีคิด

หมายเลขบันทึก: 61241เขียนเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2006 11:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ขอเเสดงความเห็นนะครับ

  • ผมว่าไม่ต้องเป็นแพทย์ก็ได้ครับที่ทำงานแล้วมีความสุข
  • อาชีพหลายอาชีพก็เหนื่อย หนักเช่นกันแต่พวกเขาก็ยังยิ้มได้ เช่น คนขับแท็กซี่ คุณเห็นเขาทำงานหนักไม๊ บางคนขับรถ 18 ชม./วัน กลับบ้านต้องไปดูครอบครัว มีเวลานอนแป็ปๆ ว่างก็ต้องมาคำนวณค่าใช้จ่าย ก่ายหัวว่าเงินพอไหม แต่พอผมขึ้นรถไป เขาก็ยังคุยยิ้มกับผม(ลูกค้า)ได้ เพราะอะไร
  • อาจเข้าทำนองเรื่องหนึ่งที่ผมได้อ่านมา คืด เรื่องชายตกปลา
  • มีผู้บริหารเห็นชายตกปลามานั่งเรื่อยเอื่อยๆ ไปวันๆ แล้วทนไม่ไหวเลยเข้าไปคุยบอกเขาว่า ทำไมทำตัวเอื่ยเชื่อยอย่างนี้ ไม่คิดพัฒนางานให้ก้าวหน้าขึ้น เช่น ไปเช่าเรือ ซื้อแหมาจับปลา พอได้ระดับหนึ่งแล้วก็เช้าเรือใหญ่ออกไปหาปลาในทะเล ซื้อตู้เย็นแช่แข็ง
  • ชายตกปลาถามว่า ที่พูดมานี่ทำไปทำไมเหรอ
  • ผู้บริหารก็ตอบว่า จะได้มีความสุขตอนเกษียณหรือแก่แล้วนะซี่ ถามได้
  • ชายตกปลา ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า ก็ผมมีความสุขกับการตกปลาตอนนี้แล้วนี้ ผมจะทำไปเพื่อจะได้ตกปลาตอนแก่ทำไม

เป็นอีกมุมองนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าคนตกปลามองถูกหรือเปล่า แต่ความสุขที่ทุกคนมองอยู่ ถ้าคุณหมอที่คุณบอนว่า ลองถามเขาดูซิครับว่าความสุขที่เขาอยากได้จริงๆ คืออะไร

คำตอบอาจจะแปลกอย่างที่คุณบอกนคาดไม่ถึงก็ได้ เช่น ขอนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย อิอิ

 เป็นประเด็นที่น่าคิดเหมือนกันนะครับว่าถ้าไปถามว่า ความสุขที่อยากไ้ด้จริงๆ คืออะไรกันแน่

เดี๋ยวจะลองไปสุ่มถามคนในวิชาชีพต่างๆดู เช่น หมอฟัน หมอยา หมอผ่าตัด หมออนามัย ...(เน้นอาชีพหมอเป็็นพิเศษ)

น่าจะมีบันทึกในแบบแหวกแนว คาดไม่ถึงมาเขียนอีกได้เรื่อยๆ
ถ้าได้คำตอบแล้วอย่าลืมลงบันทึกนะครับ อยากรู้เหมอือนกันว่าหมอเดียวนี้คิดยังไงกับความสุข
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท