กลับมาพบกับ
เสวนาจานส้มตำ บันทึกที่แตกต่างจากกาฬสินธุ์ ความจริงแล้ว หัวข้อในบันทึกนี้ ได้พูดคุยในวงส้มตำเมื่อเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมาครับ
อาจจะเรียกได้ว่า แทบจะไม่มีโอกาสเลย ที่คนธรรมดาๆจะมานินทาคุณหมอ หรือคนไข้มาวิพากษ์คุณหมอ ในสถานที่ที่มีบุคลากรทางการแพทย์มากมายเช่นใน gotoknow แห่งนี้
คู่สนทนา 1 : วันก่อนพาแม่ไปโรงพยาบาลยางตลาด เห็นคุณหมอผู้หญิงคนนึง ทำงานหนักมาก หมอคนนี้พึ่งจบมาได้ไม่กี่ปี และรู้จักคุ้นเคยกับเราดี เจอทีไร ท่าทางเหนื่อยๆอิดโรย เธอบอกว่า ทุกวันนี้เธอทำงานหนักเหลือเกิน หลายครั้ง เหนื่อยจนร้องไห้ออกมา คิดอยากจะลาออกอยู่หลายครั้ง เพราะไม่มีความสุขเลย ทั้งๆที่ได้ทำตามกฎเกณฑ์เหมือนแพทย์คนอื่นๆทุกอย่าง แถมยังไม่เคยทำอะไรที่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
คู่สนทนา 2 : ดูในทีวี ละครเกาหลีเรื่อง หมอโฮจุน คนดีที่โลกรอทางช่อง 3 แล้ว มันสะท้อนอะไรหลายอย่างเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่า คุณหมอในเมืองไทยจะมีคนที่ทุ่มเทรักษาผู้ป่วยเหมือนอย่างหมอโฮจุนสักกี่คน
นายบอน – คุณหมอ แพทย์ พยาบาล หมออนามัย ที่ทำงานด้วยหัวใจมีตั้งเยอะ แต่ไม่ค่อยมีใครรับรู้อีกมาก
คู่สนทนา 2 : คนเป็นหมอทำงานหนักแล้วได้เงินตั้งเยอะ น่าจะมีเวลาซื้อหาความสุขใส่ตัวได้มั่งนะ เรียนมาก็มากกว่าคนอื่น เป็นบุคคลที่ถือว่าไอคิวสูง ฉลาดมากๆ แต่ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ เรื่องความสุขของตัวเองกลับคิดไม่ออก เป็นไปได้ยังไง
คู่สนทนา 1 : แต่คุณหมอหลายท่าน แม้จะทำงานหนัก ตรวจคนไข้ทั้งวัน แต่ยังมีรอยยิ้มให้กับคนไข้อยู่ตลอดนะ
คู่สนทนา 2 : แค่รอยยิ้ม ใครก็ปั้นยิ้มได้ ดูอย่างการประกวดนางงาม แต่ละคนยืนยิ้มจนเหงือกแห้ง ยิ้มได้เป็นชั่วโมง เดินออกมาหน้าเวที ก็เปิดปากโชว์ฟันยิ้มทันที
คู่สนทนา 1 : แต่พวกนางแบบที่เดินเร็วๆบนเวที เค้าไม่ยิ้มนะ ทำหน้าบูดหน้าเบี้ยว รีบเดินฉับๆๆ ออกมาบนเวที แล้วก็หมุนตัว พลิกตัวให้ถ่ายรูป แล้วก็เดินหน้าบูดเข้าไป หลายคนก็อยากที่จะเป็นนางแบบ นายแบบบ้าง
นายบอน - นางแบบ เขานำเสนอเสื้อผ้า ต้องเดินและออกลีลาท่าทาง ให้คนดูเห็นสิ่งที่ต้องการนำเสนอให้มากที่สุด แต่นางงาม นำเสนอตัวเอง แสดงออกทางรอยยิ้ม บุคลิกท่วงท่าการเดิน และรูปร่าง
คู่สนทนา 2 : งั้นคุณหมอที่ฉีกยิ้ม ทั้งๆที่เหน็ดเหนื่อยจากการตรวจคนไข้ ต้องการนำเสนอความเป็นกันเอง หรือสร้างภาพอะไรหรือเปล่า ขนาดเราทำงานหนักๆ เหนื่อยแทบตาย ยังยิ้มไม่ออก ได้แต่หอบแฮกๆ
นายบอน – คุณหมอที่มีจุดยืน มีความเมตตา มีอุดมการณ์ในการทำหน้าที่ก็มีมากมาย คุณหมอทั้งตรวจ ทั้งวินิจฉัย และทำอะไรหลายอย่าง เพราะอยากให้คนที่มาหาหมอ หายจากอาการเจ็บป่วยต่างๆ
คู่สนทนา 2 : แสดงว่า หมอผู้หญิงคนนี้ที่ยางตลาด ไม่มีจุดยืนงั้นหรือ
นายบอน : บางทีแต่ก่อน อาจจะไม่ค่อยได้ทำงานหนักแบบนี้ เลยยังไม่มีความอึดพอ อาจจะมีความอดทนน้อยไปหน่อย หรืออาจจะยังค้นหาตัวเองยังไม่พบ
คู่สนทนา 1 : หมอผู้หญิงคนนี้ ตอนเด็กๆ เรียนกวดวิชามาตลอด ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวเล่นเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆ แต่เธอก็เต็มใจเรียน เพราะอยากให้พ่อแม่ชื่นใจ พอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ขอนแก่นได้แล้ว ก็เรียนพิศษเพื่อเข้า มข.อีก ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่เธอมุ่งมั่นที่จะได้เรียนในคณะแพทย์ศาสตร์ มข.ตามที่ต้องการให้ได้ เพื่อความสุขสบายในวันข้างหน้า
คู่สนทนา 2 : แล้วตอนนี้ สบายไหมล่ะ มาบ่นว่าเหนื่อย ว่าอยากจะลาออก ที่แท้ชีวิตขาดสมดุลนี่เอง เอาแต่เรียนอย่างเดียวไม่ค่อยสังคมกับมิตรสหาย นอกจากเรื่องเรียนแล้ว เธอรู้เรื่องอะไรมั้ยเนี่ย
นายบอน – เหมือนกับว่า กำลังวิ่งไล่ล่า ไขว่คว้าหาความสุขอยู่ตลอดเวลาเลยนะ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า ตรงนั้น คือความสุข แต่เมื่อไปถึง ก็ยังมีเป้าหมายต่อๆไปเรื่อยๆ ยิ่งเดินยิ่งไกล ถ้าเป็นคนอื่นๆที่ไม่มีโอกาส ได้แค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของเธอ จะดีใจมากมายขนาดไหนแล้ว
คู่สนทนา 1 : พอเธอสอบติด ได้เป็นนักศึกษาแพทย์ มข. ทุกคนในครอบครัวของเธอต่างดีใจกันยกใหญ่ แต่ตลอดเวลาที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนแพทย์ เธอบอกว่า นั่นยังไม่ใช่ความสุขอย่างที่เคยคาดหวังไว้ ยังคงต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ความสบายในอนาคตต่อไป พยายามทำให้ใบเกรดสวยหรูที่สุด พยายามไขว่คว้า เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เพื่ออนาคตสำหรับการเลือกเรียนต่อเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นสาขาใดก็ตาม
คู่สนทนา 2 : คนที่อยู่กับความสำเร็จมาตลอดจนคุ้นเคย จนไม่รู้สึกยินดีกับสิ่งที่ได้รับ ท่าทางต่อมความสุขจะชำรุดเสียแล้ว ไม่รู้ว่า คุณหมอที่มักจะตรวจโรคให้คนไข้ทุกคน เคยตรวจสุขภาพใจของตัวเองบ้างหรือเปล่านะ
นายบอน – ดูเหมือนว่า เป้าหมายจะขยับไปเรื่อยๆ เพราะเธอพิชิตเป้าหมายที่ตั้งไว้มาได้ตลอด เห็นคุณหมอหลายท่าน ที่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ ทำโครงการออกมาได้ดี ไม่รู้เหมือนกันว่า มีเวลาที่จะเก็บเกี่ยวความสุขจากสิ่งที่ได้ทำสำเร็จไปแล้วบ้างหรือไม่ หรือว่า เสร็จงานอย่างหนึ่งปั๊บ ก็ลุยเรื่องใหม่ต่อทันที
คู่สนทนา 1 : คุณหมอคนนี้ น่าจะเป็นแบบนั้นก้ได้ พอเธอเรียนจบ เธอต้องออกไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ทีแรกเธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจหลังจากได้รับเงินเดือนก้อนแรกของชีวิต แต่พอทำงานไปสักพีก ก็เจอปัญหาสารพัด ตำราที่เรียนมาก็ไม่ได้สอนไว้ว่าจะต้องแก้ปัญหาต่างๆยังไง
นายบอน : ตำราจากชีวิตจริง ประสบการณ์จากชีวิตจริง ชีวิตใครชีวิตมันเท่านั้นที่จะแก้ไขได้
คู่สนทนา 2 : แล้วเธอจะค้นหาความสุขที่ว่านี้ ได้จากช่วงไหนของชีวิตของเธอกันล่ะ ตอนเด็กๆ ก็ขยันเรียน อดทนในวันนี้ เพื่อจะได้สบายในวันหน้า แล้ววันข้างหน้าน่ะ มันเมื่อไหร่ละโว้ย !!!! ทำไมความสุขมันห่างไกลจากตัวเราเสียเหลือเกิน แล้วความสุขสำหรับคุณหมอผู้หญิงคนนี้ มันอยู่ที่ไหนกันแน่
นายบอน – หลายคนทำงานหนัก บอกว่า ตอนที่เกษียณอายุราชการนั่นแหละ จะได้ทำอะไรอย่างที่ใจอยากจะทำ แต่ที่ผ่านมา เมื่อคิดว่า ถึงจึดที่ใกล้จะได้มันแล้ว แต่แล้ว มันทำไมยังหนีไปอีก ถ้าถึงตอนเกษียณแล้ว วันนั้น จะได้สิ่งที่เรียกว่าความสุขมาครอบครองหรือเปล่า หรือจะต้องค้นหา ตามล่าต่อไปเรื่อยๆ
คู่สนทนา 2 : ไม่รู้เหมือนกันว่า เอาเรื่องนี้ไปบันทึกใน gotoknow แล้ว คุณหมอทั้งหลายจะตอบว่ายังไง แต่ถ้าเรามานิยามความสุขของชีวิตกันใหม่ อย่าไปเที่ยวกำหนดว่า มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ
ไปนึกเอานิยามความสุขของคนอื่นมาเป็นของเราเอง นี่แหละที่ทำให้ค้นหาความสุขไม่เจอซักทีนายบอน : คุณหมอคนนี้ อาจจะทำงานหนัก จนเครียดมากๆ บางทีเรื่องที่ธรรมดา อาจจะคิดมากจนเกินไป มัวแต่คิดถึงความสุขในวันข้างหน้า แล้ววันนี้ล่ะ มีความสุขไม่ได้หรือ จะใช้ชีวิตในทุกๆวินาทีในวันนี้ให้มีความสุข และตัด ความสุขในวันข้างหน้าออกไปไม่ได้หรือ มองหาความสุขใกล้ๆตัวบ้างก็ได้
คู่สนทนา 2 : เท่าที่ติดตามอ่านบันทึกของุคณหมอหลายท่านใน gotoknow ตัวเราเองต่างหากที่เป็นคนขีดระดับความสุขให้แก่ตัวเอง ถ้าขีดไว้สูงเกินไป แล้วไปไม่ถึงมัน แล้วก็ต้องมาทุกข์ทรมานใจกับสิ่งที่ตัวเองขีดเอาไว้เอง
คู่สนทนา 1 : นั่นสิทั้งๆที่เธอก็ทำตามกฏเกณฑ์ของสังคมทุกอย่าง เหมือนคุณหมอคนอื่นๆ คุณหมอคนอื่นๆ ตรวจคนไข้เป็นร้อยๆคนทั้งวัน แต่สามารถมองการทำงานให้เป็นเรื่องสนุกได้ แต่จะมองในมุมไหน คงต้องไปปรึกษากับคุณหมอด้วยกันแล้วล่ะ เพราะเธอเป็นแพทย์ทางด้านอารุยศาสตร์ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า แพทย์อายุรศาสตร์ จะมองการทำงานในแง่มุมไหน ให้เป็นเรื่องสนุกได้บ้าง
.. และนี่คือ
เสวนาจานส้มตำ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับแพทย์ครับ
เสวนาจานส้มตำ หมอ การเรียนรู้ มุมมอง วิธีคิด