"ผมตั้งใจจะใช้กระบวนการฝึกจิตใต้สำนึกด้วย SCORE บูรณาการการจัดการความล้าทางจิต (ย้ำคิดวิตกกังวล) ด้วยกิจกรรมบำบัดจิตสังคม แต่กว่า 1 ชม.ก็เชื่อมโยงได้ Symptoms กับ Causes พร้อม State Management ก็ปรับไปใช้ Re-imprinting & Logical Levels of Change เริ่มต้นที่ใช้มือสัมผัสหัวใจในทุกๆครั้งที่เคสย้ำคิด สุดท้ายใช้ SOAR Model [Citation with Acknowledgement at http://nlpuniversitypress.com/]"
โค้ช: ให้น้องหลับตาแล้วสำรวจอารมณ์ตึงเครียดว่าอยู่ที่ใดของร่างกาย
เคส: ที่หัว ตึงที่กระบอกตา 3/10 [เคสรู้ตัวว่าตากระพริบถี่ โค้ชรู้สึกมีความร้อนสัมผัสได้ตรงหน้าผากพร้อมสังเกตเห็นเคสตัวเอนไปข้างหลัง แต่เคสรู้ตัวว่าใจลอยๆ]
โค้ช: มีคำถามในหัวอะไรบ้างที่อยากเปลี่ยนแปลงตนเอง
เคส: อยากลดความคาดหวังความกังวลเพื่อแก้ไขสิ่งที่บกพร่อง ที่สอบไม่ได้ ต้องคิดก่อนทำ ทำให้ได้ 100/100 ข้อ อ่านให้ละเอียดกว่าเดิม เดิมอ่าน ข้อ 1-ข้อ 10 ต้องอ่านข้อ 1.1.1.2...10.1...อ่านภาพรวมแล้วค่อยไปภาพย่อย ตอนนี้อ่านสะเปะสะปะ เนื้อหาคาดไว้อ่าน 1-10 อ่านไปได้ถึง 5 ก็สงสัย คิดเยอะ ไม่ปล่อยให้หลุด โลภจนเครียด ต้องฝึกลายมือให้สมองกับมือทำงานคล้องกัน 10/10 คนบอกว่าอ่านไม่ออก ลายมือดีคนตรวจข้อสอบจะได้อารมณ์ดี
โค้ช: ให้น้องเห็นภาพที่อยากให้หายเครียด แล้วเล่าให้พี่ฟัง
เคส: ภาพมองตัวเองที่ห้องนอน ยืนยิ้มหลับตา อยากเริ่มต้นสิ่งที่ดีๆทุกด้าน เปิดรับความคิดเห็น ให้คนอื่นตรวจสอบจุดบกพร่องเพื่อจะได้แก้ไขตนเอง
โค้ช: น้องใช้หัวคิดเยอะเกินไป ค่อยๆปล่อยวางความคิด แล้วเปิดใจ นำมือวางไว้ที่หัวใจแล้วค่อยๆฟังเสียงหัวใจเต้น ค่อยๆถามใจตัวเองว่าจะตอบคำถามอย่างไร...น้องอยากทำอะไร
เคส: อยากออกกำลังกายให้โล่งๆ ไม่อยากอ่าน อยากอยู่เฉยๆ ทบทวนตนเอง [สังเกตกระพริบตาลดลง ตัวเอนไปข้างหลังน้อยลง นิ่งขึ้น มีรอยยิ้มมุมปาก เมื่อโค้ชสอบถามความตึงเครียดที่ตาลดลงเหลือ 1/10]
โค้ชนำเคสมาที่จุดสีเขียวคือ ค้นหาปัญหาให้ชัดเจน คือ ไม่อดทน อดทนเพียง 10% ของสิ่งที่อยากทำ
โค้ชนำเคสมาที่จุดสีฟ้า คือ ค้นหาเหตุแห่งปัญหา คือ เพราะร่างกายไม่แข็งแรง [เคสใช้หัวย้ำคิด ไม่ออกำลังกายเพราะไม่มีเวลา มัวทุ่มเทสอบ ออกกำลังกายทำให้เสียเวลา ต้องการสำเร็จมุ่งเป้าหมาย กังวลไม่รู้สถานการณ์ในห้องสอบจริง พอเข้าห้องสอบ สติก็หาย ดึงความรู้มาใช้ไม่ได้...เมื่อใช้มือจับหัวใจ ก็ได้คำตอบชัดเจนว่า พยายามอ่านเยอะแต่ข้อมูลไม่เข้าหัว คาดหวังต้องสอบให้ได้ ไม่ค่อยหวังผู้ช่วยฯ หวังอัยการ และล้าจากงานประจำ จริงๆ ต้องทำงานให้ร่างกายสดชื่นด้วย]
สังเกตการบันทึกข้อมูลของโค้ชที่มีแต่ความคิดวุ่นวาย (สีน้ำเงิน) มากกว่าความในใจของเคส (สีแดง) แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นข้อมูลที่ตกผลึกจากใจขึ้นเรื่อยๆ
ปรับกระบวนการให้เดินถอยหลังย้อนอดีตที่สติหายสุดๆจนกลัวและย้ำคิดมากๆ ก็พบภาพดันทุรังอ่านเตรียมสอบเมื่อ 2-3 เดือนก่อนนี้ เคสรู้สึกว่า "สิ่งที่อ่านไม่เข้าหัว อยากจะนอน รู้สึกเพลียจากสิ่งที่ฝืนใจ"
เมื่อให้เคสยกความสำเร็จของต้นแบบ ก็ให้สวมร่างเป็นรุ่นน้องที่ทำงานตี 1-2 สอบไม่ผ่าน 2 รอบ ก็มุ่งมั่นจนสอบสำเร็จ เคสก็ได้เรียนรู้เคล็ดลับแต่มีคำพูดปนกันระหว่างฐานหัวคิดตามจริตของตนเองกับฐานใจตามจริตของต้นแบบ คือ "ต้องอดทน ไม่ต้องอ่านเพื่อสอบ ต้องอ่านเพื่อวินิจฉัยคดีบนบังลังค์ อ่านสิ่งที่อยากอ่านก่อนแล้วต่อยอดสิ่งที่ชอบและไม่ชอบจะเชื่อมวนกันเอง ต้องนอนพอสมควร 2 ชม. ตั้งนาฬิกาปลุก อ่านต่อเนื่อง 2 ชม. นอนตื่นชอบมาทบทวน...[เริ่มปนความคิดของเคสอีกมากมาย เช่น ฝึกเขียนตัวใหญ่ มีหัว คิดให้เสร็จกระบวนการ 1-10 ก่อนเขียน ช้าๆ สังเกตตากระพริบถี่และตัวเอนไปข้างหลังมากขึ้น] โค้ชใช้โทนเสียงกระตุ้นให้มีสติเป็นต้นแบบ...เคสก็พูดเป็นต้นแบบว่า อดทน อย่ามั่นใจเกินไป ต้องลดระดับความมุ่งมั่น" [โค้ชให้ตรวจสอบผ่านการเดินถอยหลังไปอีก ก็สังเกตกระพริบตาลดลง ตัวเอนไปข้างหลังน้อยลง นิ่งขึ้น มีรอยยิ้มมุมปาก เมื่อโค้ชสอบถามความตึงเครียดที่ตาลดลงเหลือ 0/10 เคสเห็นภาพฟ้าสว่าง มองไปข้างนอก ทำสมาธิ แล้วบอกว่า "รู้สึกโล่งๆ ควรมีสติก่อนเมื้อกี้"]
ปรับกระบวนการให้เดินไปข้างหน้าเพื่อนำภาพบวกขณะเคลื่อนไหวมาสร้างกรอบภาพนิ่ง ก็พบภาพความสุขเมื่ออยู่ปี 1-2 มหาลัย กำลังสอนเพื่อนๆ เป็นกลุ่ม เป็นตัวของตัวเอง ไม่เหนื่อยที่ได้เตรียมมาติวเพื่อน ทำให้ทุกคนสอบผ่านไปพร้อมกัน การทำให้คนอื่นๆรู้ทิศทางที่ถูกคือความสุขของเคส" จากนั้นเคสมองเห็นภาพเคลื่อนไหวมาที่เมื่อวานคือ สอนรุ่นน้องนศ.ฝึกงาน 4 คน ก็ใช้มือจับหัวใจแล้วรู้สึกว่า "เราต้องรู้เพิ่มเติม มีบางจุดเราไม่รู้ เราจะสร้างประโยชน์เพื่อคนอื่นๆ พัฒนาคนหมู่มากเพื่อปรับตัวเองและสังคมให้ดีขึ้น [เดินต่อไปแบบ Logical Levels of Change จาก Belief - Self-Identity - Vision]
ขั้นต่อไปนี้น่าสนใจ เคสได้เห็นภาพตนเองเป็นผู้พิพากษาบนบังลังก์ โค้ชจึงให้สวมร่างเป็นตัวเคสเองในอนาคต ที่รับรู้จิตใต้สำนึกในวัย 35 ปี (อีก 3 ปีข้างหน้า) สังเกตน้ำเสียงจากดังเป็นนุ่มนวล สีหน้ากังวลเป็นยิ้มสดชื่น ร่างกายที่ยืนตึงเครียดเป็นก้มเล็กน้อยคล้ายนั่งบนบังลังค์จริงๆ โค้ชอังมือตรงหน้าผากเคสพบความเย็นและรู้สึกพลังเมตตาอย่างน่าสนใจ และคำพูดตอบโจทย์ลื่นไหลอย่างใส่ใจและมั่นใจ ดังนี้
สุดท้าย เคสเริ่มตึงขาสองข้าง หลังกลับมาสวมร่างตนเองในปัจจุบัน จากรู้สึกใจลอยๆ ก็ขอเปลี่ยนภาพใหม่เป็น รูปตนเองในอีก 3 ปีข้างหน้านั่งบนบังลังค์ ยิ้มสุขใจในความสำเร็จของชีวิต อยากเขียนคำว่า สู้ แล้วให้พูดดังๆ สู้ๆๆๆ จากนั้นให้สรุปความเข้าใจในสิ่งที่ต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 21 วัน ดังภาพข้างล่างนี้
ขอบพระคุณมากครับพี่ธิ
ขอบพระคุณมากครับพี่ดร.โอ๋ และคุณแก้ว