เมื่อวานนี้แต่เช้าดิฉันต้องคุยงานท่ามกลางความขัดแย้ง ถึงสองกรณีด้วยกัน งานแรกผู้ปฎิบัติมีความเห็นไม่ลงรอยกับเจ้านายทั้งสองฝ่ายต่างเป็นพลังทำงานให้องค์กร อีกกรณีเพื่อนร่วมงานที่ไม่ชอบท่าทีในการทำงานของกันและกันแต่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นกำลังสำคัญที่จะทำให้งานใหญ่สำเร็จ ดิฉันต้องเจรจาเพื่อให้ได้งานที่สมบูรณ์...แน่ทีเดียวคงไม่มีใครอยากเข้าไปเกี่ยวข้องในงานที่นอกจากจะเหน็ดเหนื่อยพลังกายพลังใจแล้วยังต้องเสียพลังงานอีกส่วนหนึ่งไปจัดแจงท่าทีของตนเองให้ดูเป็นกลางไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง จะว่าไปแล้วในองค์กรทั่วไปเสียพลังงานในลักษณะนี้ไปมาก หลักการบริหารความขัดแย้งมิได้ถูกนำมาใช้ในองค์กรอย่างจริงจัง ซึ่งแทนที่จะนำพลังงานส่วนที่เสียที่มัวแต่ ตัดแรง คะคาน กีดกัน จ้องเล่นงานกันนำมาเพิ่มพูนงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกลับเสียไปเปล่าๆอย่างน่าเสียดายจากการอยู่ตรงกลาง..ดิฉันหวลย้อนคิดถึงบันทึกกาวใจในที่ทำงานที่เขียนไว้เกี่ยวกับความขัดแย้งในที่ทำงาน...งานนี้ดิฉันเรียนรู้ว่าแม้เราจะบริสุทธิ์ใจสักเพียงใดก็ยังเป็นการยากที่จะทำงานท่ามกลางความเห็นไม่ลงรอยที่เกิดจากพื้นฐานทัศนคติการมองโลกในแง่บวก แง่ลบ ดิฉันทำได้เพียงประสานทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ได้งานห้ามเผลอเรอกลายไปเป็นอย่างอื่นหรืออีกอย่างก็ถอนตัวจากงานนี้ นิ่งดูและปล่อยให้ไปตามกรรม..
คุณน้องเมตตาขา......(รู้แล้วอ่ะว่าเป็นน้อง)
พูดได้อย่างเดียวว่า ทำใจ ค่ะ (คนเหนือเรียกว่า แป๋งใจ๋ เจ้า)
งานนี้ก็ต้องส่งใจไปเชียร์เหมือนเดิม (งานนี้ต้องเชียร์กรรมการ)
ส่งใจไปให้เต็ม ๆ อีกครั้งค่ะ (ไม่อยากบอกว่าหัวอกเดียวกัน)
เห็นด้วยกับอักษรทุกตัวในบันทึก เป็นกำลังให้คุณเมตตาค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณเมตตา