โสภณ เปียสนิท
นาย โสภณ เปียสนิท ตึ๋ง เปียสนิท

​รำลึกถึงแม่


รำลึกถึงแม่

โสภณ เปียสนิท

…………………………………..

เนื่องจากแม่ของเราจากไปครบร้อยวัน บุตรหลานดำริกันว่าควรจัดทำหนังสือขึ้นสักเล่มเพื่อรำลึกถึงแม่ โดยมอบให้ผมเป็นคนรวบรวมข้อคิดคำเขียนจากพี่น้อง ผมจึงได้อ่านข้อความจากญาติพี่น้องที่เขียนถึงแม่ของพวกเรา เพราะต้องเป็นคนเกลาสำนวนให้กับทุกคนด้วย พบว่าข้อเขียนของพี่สาวคนโต เขียนถึงแม่ได้อย่างลึกซึ้งกินใจ จึงขอนำมาเผยแพร่ให้อ่านกันในวงกว้าง เพื่อเป็นข้อคิดสะกิดใจของผู้อ่านที่มีใจรักแม่ทุกคน ต่อไปเป็นข้อเขียนของพี่สาวนะครับ

แม่จากไปตอนอายุ 80 ปี (11 ธันวาคม 2558) ส่วนพ่อจากไปอายุได้ 59 ปี (16 มีนาคม 2533) เรื่องราวของพ่อและแม่ เป็นตำนาน จะว่าเหมือนละครหรือนิทานก็ได้ แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของหญิงคนหนึ่ง ที่เป็นลูกสาวคนโตของแม่นกเอี้ยง และพ่อกิมชุน เปียสนิท ชีวิตจริงที่ได้ผ่านทุกข์ โศก เศร้า เคล้าน้ำตา ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ประมาณ 62 ปีเต็ม เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย ในวัยชราเริ่มมีอาการหลงลืมไปบ้าง จำได้บางเรื่องราวของความผูกพันกับแม่ เช่นที่จะเล่าต่อไปนี้ ซึ่งเป็นแค่เศษเสี้ยวของความจำที่พอจะถ่ายทอดออกมาได้
ถิ่นกำเนิด หรือ บ้านเกิดของเด็กหญิงนงนุช เปียสนิท เริ่มต้น ณ บ้านลาดหญ้า ต. ลาดหญ้า อ. เมือง จ. กาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่นกเอี้ยง นุชในวัยเด็กเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่มีผิวคล้ำ ตาโต ผมหยิกหยักโศก ตอนเด็กจำได้ว่า พ่อมีอาชีพรับจ้างโยงแพแล้วล่องไปส่งแม่กลอง พ่อมีเรือยนตร์ 1 ลำ แม่มีอาชีพทำนา ซึ่งเป็นนาของแม่คุณพ่วง และพ่อคุณฉ่ำ เขียวแก้ว ยามว่างพ่อก็ช่วยแม่ทำนา ที่นานี้อยู่เยื้องเขาชนไก่ปัจจุบัน (เคยเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างของแม่) แม่เล่าให้ฟังว่า แม่หาบลูกข้างหนึ่ง อาหารและเครื่องมือทำงานข้างหนึ่ง ใส่กระจาดหาบเดินลัดทุ่งไปทำนา กว่าจะถึงที่นาก็ไกลหลายกิโลที่เดียว พอถึงแล้ว แม่ก็จะผูกเปลผ้าขาวม้ากับต้นตะโก หรือ ต้นข่อย ให้ลูกลงนอน แล้วแม่ก็ลงดำนา ทำนาไปเลี้ยงลูกไปเป็นชีวิตประจำวันในวัยสาวของแม่ ครั้งหนึ่ง แม่ผูกเปลเรียบร้อย และเอากระจาดอาหารอีกข้างที่มีอาหารแขวนไว้ตามกิ่งไม้ พร้อมปกปิดข้าวปลาอาหารไว้อย่างดีทุกวัน ครั้งนี้พอทำนาเสร็จเที่ยงๆ กลับมาจะกินข้าวกัน ปรากฎว่า มีสุนัขมาขโมยอาหารไปกินหมดเกลี้ยง ทั้งแม่และลูกต้องอดอาหารในมื้อนี้ ครั้งนั้นแม่เจ็บใจไม่หาย จนจำมาเล่าให้ฉันฟัง

สร้างบ้านแฝดหลังแรก

แม่และพ่อทำนาได้ข้าวมาไม่ได้ขาย แต่เอาไว้กินใช้ในครัวเรือน ซึ่งตอนนั้นจำได้ว่า ท่านได้สร้างบ้านเรือนไว้ 2 หลังคู่กัน(บ้านแฝด) ก็หลังใหญ่พอดู โดยท่านจะปั่นจักรยานจากบ้านมาทำไร่ที่ท่ามะนาวของปู่กับย่า เพราะตอนนั้นปู่กับย่าเริ่มมีอายุมากแล้ว พ่อและแม่ปลูกละหุ่งขายได้สตางค์มาก็เอามาจ้างช่างทำกระเบื้องมุงหลังคาบ้าน ทำทีละอย่างกว่าจะได้ บ้านเรือนสองหลังคู่นี้ เหนื่อยยิ่งกว่าการสร้างบ้านของจอมปลวกเสียอีก นับว่ามีความขยันมานะอุสาหะมากทีเดียวกว่าจะได้บ้านเรือนสองหลังคู่นี้ ถึงตอนนี้ฉันโต พอจะทำงานช่วยพ่อแม่ได้เต็มที่ ได้รับมอบหน้าที่ทำงานแทนแม่เกือบทุกเรื่อง ชีวิตของฉันในวัยเด็กและวัยรุ่นจึงไม่มีเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยวัย 11 ขวบ เลิกเรียนก็ต้องมาช่วยพ่อและแม่ ทำทุกอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระแม่ที่เหนื่อยจากงานไร่ ช่วงที่เรียนอยู่ประมาณชั้นประถมปีที่ 4-5 ฉันอยู่บ้านลาดหญ้าเป็นเรือนสองหลังคู่ มันกว้างใหญ่พอดูเชียว นึกภูมิใจในพ่อและแม่ของฉันมาก ที่ท่านได้สร้างบ้านหลังใหญ่โตถึงเพียงนี้ ความรู้สึกตอนนั้นไม่ธรรมดาเลย คือ พ่อแม่มาทำไร่ปลูกละหุ่งที่ท่ามะนาว ด้วยการปั่นจักรยานมอเตอร์ขา จากบ้านลาดหญ้ามาถึงไร่ท่ามะนาว คิดดูไกลแค่ไหน เมื่อแม่อารมณ์ดีมักจะย้อนถึงอดีตนำมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ พอเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้เมล็ดละหุ่ง ก็พ่วงจักรยานมาขายที่ตลาดลาดหญ้า แล้วเก็บเงินไว้ใช้จ่าย อีกส่วนหนึ่งไว้จ้างช่างทำกระเบื้องมุงหลังคาบ้านแฝดที่ลาดหญ้า
ฉันได้เห็นพ่อและแม่ปรึกษากัน เป็นอย่างนี้เลยมา พ่อคิด แม่เป็นผู้ลงมือทำ แม่ทำพ่อช่วยคิด บ้านเรือนไม้ 2 หลังคู่จึงสำเร็จตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากบ้านของลุงช่วย เขียวแก้ว ซึ่งเป็นพี่ชายของแม่ บ้านลุงช่วยและบ้านฉันไม่ไกลกันนักพอตะโกนเรียกกันได้ยิน
ต่อมาปู่กับย่าก็เริ่มจะป่วย พ่อกับแม่ต้องไปช่วยทำไร่ที่ท่ามะนาว ลูกสาวของแม่ก็ต้องอยู่บ้านลาดหญ้าหลังใหญ่เพียงผู้เดียว ในตอนนั้นรู้สึกเหงามากๆ พอฟ้ามืดลงจะรู้สึกกลัวเป็นที่สุด ต้องนอนคลุมโปง อยู่มุมหนึ่งของบ้าน อ้างว้างหว้าเหว่สุดจะทน ตื่นเช้ามาก็ต้องหุงหาอาหาร(สมัยนั้นยังใช้เตาฟืนหรือถ่าน) แล้วห่อข้าวไปโรงเรียนเอง อาหารของฉันมีเพียงไข่ไก่สดไม่กี่ฟองกับน้ำปลาหนึ่งขวดเท่านั้นถือว่าดีที่สุดแล้ว ทำเป็นบ้างไม่เป็นบ้าง เพราะต้องทำกินเอง ฉันต้องกลายเป็นเด็กหญิงไม่เก่งแต่หัวใจแกร่งด้วยความจำเป็น ถ้าฉันเป็นผู้ชายพ่อกับแม่คงพาฉันไปฝากไว้ที่วัด เพราะน้องชายของฉัน แม่ก็พาไปฝากไว้ที่วัด เพื่อจะได้ให้ลูกได้เรียนหนังสือ สมัยพ่อกับแม่ไปทำไร่ละหุ่งยังไม่มีทางรถยนต์วิ่ง ต้องเดินทาง ทางน้ำจึงสะดวก มีแต่เรือยนต์ ลากจูงแพ หรือมีเรือเร็วหางยาวก็น้อยมาก แม่ฉันเล่าให้ฟังว่า ต้องมากับแพ ไปตลาดลาดหญ้า กว่าจะถึงก็ต้องค้างคืนค้างวัน
ต่อมาไม่นานปู่ชื้นเสียชีวิตลง ครอบครัวฉันย้ายมาทำไร่ดูแลที่ดินเดิมของปู่ย่า เพราะเหลือเพียงย่าอายุมากแล้วไม่ค่อยจะแข็งแรง พอดีช่วงนั้นมีการสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ขึ้น อาชีพรับจ้างล่องแพไม้รวกของพ่อ ก็ต้องหยุดลง พ่อกับแม่จึงขึ้นมาทำไร่เต็มตัวที่บ้านท่ามะนาว และต้องทำงานเก็บเงินซื้อที่สร้างบ้านที่ท่ามะนาวอีกครั้ง เพราะที่ของปู่อยู่ฝั่งตรงข้ามท่ามะนาว เลยต้องซื้อที่สร้างบ้านในชุมชนบ้านท่ามะนาว กว่าจะได้เงินมาสร้างบ้านหลังนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย (ได้รื้อไม้จากบ้านเรือนแฝดที่ลาดหญ้ามาสร้างด้วย) ถึงตอนนี้ฉันทำงานช่วยพ่อกับแม่เต็มที่เลย

อาชีพใหม่ค้าขายบนเรือ

พ่อกับแม่เริ่มต้นอาชีพใหม่ เมื่อฉันเรียนจบชั้นประถมศีกษาปีที่ 7 (สมัยนั้นมีถึงป.7) ที่โรงเรียนลาดหญ้าวิทยา อายุก็ 14-15 ปี ตอนนั้นฉันช่วยงานแม่ทุกอย่างได้แล้ว ครอบครัวเราต้องอยู่เรือต่อ เป็นเรือเอี้ยมจุ้น จอดค้าขายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ ท่ามะนาว ฉันทำหน้าที่หุงหาอาหาร ขายของแทนแม่ เลี้ยงน้อง หาข้าวให้น้องๆ กิน ซักผ้าอ้อมและเสื้อผ้าของทั้งครอบครัว ในเวลาที่น้องป่วยไข้ต้องช่วยแม่ดูแล ได้นอนน้อยมาก โชคดีที่ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยไข้ เพราะสมัยนั้นหมออนามัยก็ไม่มีจะไปหาหมอสักที ก็ต้องไปลาดหญ้าหรือหนองบัว
แม่เล่าว่า น้องชายคนโตคนรองจากฉัน ชื่อ นเรศ ตอนนั้นอายุประมาณ 6 ขวบเห็นจะได้ เป็นโรคท้องร่วงอย่างแรงเดินทางไปหาหมอที่หนองบัว โดยการนั่งเรือจูงแพไป กว่าจะถึงมือหมอ น้องก็เสียชีวิตเสียก่อน แม่กับพ่อต้องอุ้มศพน้องชายฉันมาเผาที่วัดลาดหญ้า นำกระดูกห่อผ้ากลับมาบ้านให้ปู่กับย่า ตอนนั้นระยะทางระหว่างบ้านท่ามะนาว ไปลาดหญ้ามันกันดานมาก ดูเอาเถอะความรักของพ่อแม่ที่มีให้ลูกทุกคน ฉันจำได้ อยู่ในใจฉันเสมอมา
หลังเรียนจบประถมปีที่ 7 ฉันเริ่มเป็นสาววัย 15 ปี ความรับผิดชอบต่างๆ ที่ต้องแบกรับไว้แทนแม่ บางครั้งเหนื่อยและเหงา ตอนนั้นได้มาอยู่ที่ท่ามะนาวแล้ว ฉันได้รับไออุ่นจากไหนรู้ไหม ให้ทายก็คงไม่ถูกแน่ๆ เพราะยามนั้นในชนบทมองไปทางไหนก็ไม่มีใคร ฉันมีน้องชายอีก 8 คน มีน้องสาว 1 คน ฉันได้รับอ้อมกอดไออุ่นของขุนเขา ที่โอบล้อมรอบพื้นดินที่ฉันอยู่อาศัย มองไปทางซ้ายย้ายไปทางขวา ข้างหน้าข้างหลังก็เห็นแต่ภูเขา ฉันได้รับไอเย็นจากสายน้ำชโลมใจและกาย แล้วยังมี หาดทรายขาวสะอาด พ่อ แม่ได้สร้างรีสอร์ตเล็กๆ หรือกระท่อมเล้าเป็ดหรือเล้าไก่ให้อยู่ ซึ่งเป็นรีสอร์ตอย่างดี ตามจินตนาการของฉัน ในสมัยนั้น

ข้อเขียนของพี่สาวคู่บารมีของแม่ยังไม่จบ เนื้อที่ในฉบับหมดลงเสียก่อน จึงขอไปเพิ่มเติมคราวหน้า เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สำหรับคนรักแม่ทุกคนนะครับ

ด้วยรักและอาลัย.docx

หมายเลขบันทึก: 606387เขียนเมื่อ 14 พฤษภาคม 2016 15:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2016 15:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท