.. ความหลังหน้าแรกจากบ้านดอย


กลิ่นไฟไหม้ฟืน โชยเข้ามาในเรือน เสียงมีดสับเขียง และครกดินเผากระทบกับพื้นไม้หลังบ้าน เด็กๆ และพี่ๆ ที่ยังนอนอยู่ก็พลันลุกขึ้นมาฟังเสียงน้าๆ และป้าที่มาพักอยู่ด้วย..เวลาที่แม่กลับมา.. บรรยากาศในอดีตได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง.. แม่ชอบย้อนอดีตในเรื่องเก่าๆ เรื่องความทุกข์ยาก ลำบากรอบด้าน.. แต่แม่ก็มีความสุขในยามที่ทุกคนได้พบหน้ากัน..ถามถึงกัน

..... เมื่ออาทิตย์ก่อน ผมเดินทางกลับบ้านคุณแม่ที่จังหวัดลำปาง.. เป็นครั้งแรกของปีนี้. อาจจะเอาโอกาสที่เป็นวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง. เดินทางกลับไปกราบท่าน และดูแลท่านในช่วงระยะสั้นๆ สมบัติส่วนตัวของตัวเองมีเพียงกระเป๋าใบเดียว และโน๊ตบุ๊คไว้สำหรับพิมพ์บันทึกอะไรอีกมากมาย.. การจัดเตรียมใช้เวลา เกือบสองวัน.. ในการส่งพัสดุล่วงหน้ากับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งคุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมที่ถูกมากกว่าของรัฐ และสะดวกรวดเร็ว ส่วนของสดอีกหลายรายการผมจัดหาในตอนเช้ามืดก่อนที่จะออกเดินทาง

.....รุ่งเช้าผมเดินทางด้วยรถประจำทางข้ามภูเขาร่วม 3 ชั่วโมง รถแล่นด้วยความเร็วคงที่มาตรฐานตามเวลาที่กำหนด ถึงบ้านใช้เวลาไม่เหมือนกับอีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเป็นรถหวานเย็น ไปเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ใช้บริการประจำ แต่คราวนี้ผมต้องลงที่จุดจอดและรอให้รถของน้าชายมารับเพื่อเดินทางต่อไปอีกร่วม 40 กิโลเมตร อาจจะเป็นเพราะว่า ความรักและความเป็นห่วง อยากเดินทางถึงบ้านคุณแม่เร็วกว่าเดิม

..... บ้านหลังน้อยบนเนินเขาที่แม่ปลูกขึ้นเอง ด้วยน้่ำพักน้ำแรงที่ทำงานมาทั้งชีวิต.. กว่า 6 ปี ที่ย้ายออกจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่นี่.. แม่เป็นพี่สาวคนโตของน้องๆ ทั้งหมดอีก 5 คน.. ซึ่งตลอดชีวิต หลากเรื่องราวที่เกิดขึ้นสร้างความสะเทือนใจให้ท่านตลอดมา.. แต่สำหรับผมและพี่สาว..ท่านไม่เคยทุกข์ใจเลย..

.....ความเหน็ดเหนื่อยตลอดชีวิตที่ได้เข้ามาทำงานในเมืองหลวง ตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี ของแม่ จนหมดภาระในการส่งเสียลูกให้เรียนจบ และกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม.. แม่รักญาติพี่น้อง รักเพื่อน.. แม่มักจะเล่ารายละเอียดของญาติพี่น้อง เพื่อน หรือคนรู้จักให้ฟังอย่างละเอียด แต่ผมไม่เคยจดจำอะไรเลย.. เพราะผมไม่รู้จักอย่างลึกซึ้ง มีแต่เพียงบางคนที่เห็นกันบ่อยๆ ก็จะคุ้นกันและสนิทสนมกัน เพราะผมกับพี่สาวเกิดและเติบโตในเมืองหลวง.. ไม่ได้คลุกคลีหรือมีอดีตกับคนบ้านดอย..เหมือนกับแม่

.....จำได้ว่าทุกครั้งที่แม่พากลับมาเยี่ยมบ้าน ตั้งแต่ผมยังเด็ก แม่จะจัดหาของฝากให้ใครๆ หลายคน ญาติพี่น้อง ผู้ใหญ่ที่เคารพ แม่ทำงานเหนื่อยมาทั้งปี เพื่อเก็บหอมรอมริบเงินเอาไว้เวลากลับบ้านดอย ..ไปเยี่ยมคุณตาและคุณยาย.. ขนมปังกรอบมีไส้สับปะรดกวน ปลาสลิดแห้งอย่างดี ส้ม และเครื่องครัวปรุงอาหาร แม่จะซื้อจากกรุงเทพใส่ลังใหญ่ๆ เอาขึ้นรถไปด้วย ตั้งแต่น้าชายยังไม่มีรถกะบะ... ปีละครั้งที่แม่จะพาเราเดินทางไปเยี่ยมคุณตาคุณยาย.. เมื่อสมัยก่อน ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จะมีเพียงแต่แสงไฟมาจากตะเกียงน้ำมันก๊าด ในบ้านจะมีเพียง 2-3 ดวงเท่านั้นและจะจุดเมื่อจำเป็น..

....สะลี (ที่นอนยาวที่พับเก็บเป็นชั้นๆ) และผ้านวมจะนำมาจัดวางกลางบ้านทุกวันก่อนจะค่ำ.. ในบ้านจะมีเด็กหลายคนและผู้ใหญ่อยู่รวมกันบนบ้านหลังใหญ่.. เมื่อแผ่ที่นอนออกและนำมาวางต่อๆ กัน จะนอนได้หลายคน.. ลูกหลานของแม่จะนอนกันนอกห้อง นอนคุยกันจนแต่ละเสียงค่อยๆ หายไป ความมืดความสุขของการได้พบกันอีกครั้งของแม่ กับญาติพี่น้องและหลานๆ มันช่างอบอุ่นและทำให้พลังใจเพิ่มมากขึ้น..

....ทุกๆ ครั้งที่กลับมาถึงบ้านดอย.. แม่จะไปตลาดแต่เช้า..ลงจากดอยไปดักรถแม่ค้า เข้าอำเภอ.. เพื่อเข้าไปซื้อกับข้าว อาหารแห้งมาเก็บไว้ให้คนข้างหลังที่ต้องใช้อีกนาน.. ข้าวหอมมะลิอย่างดีแม่ซื้อมาเป็นกระสอบ ข้าวหักสำหรับไก่ และรำข้าวใช้เลี้ยงไก่นอน รวมเครื่องปรุงรสท้องถิ่นประเภทเครื่องเทศ สมุนไพร.. มาให้ยายปรุงอาหารให้คนทั้งบ้าน พร้อมแป้งทำขนม มะพร้าว และน้ำตาล สำหรับทำบุญเป็นทานอุทิศ แม่จะกลับมากับรถโดยสารในช่วงฟ้าสางเพื่อให้ทันต่ออาหารเช้า

....กลิ่นไฟไหม้ฟืน โชยเข้ามาในเรือน เสียงมีดสับเขียง และครกดินเผากระทบกับพื้นไม้หลังบ้าน เด็กๆ และพี่ๆ ที่ยังนอนอยู่ก็พลันลุกขึ้นมาฟังเสียงน้าๆ และป้าที่มาพักอยู่ด้วย..เวลาที่แม่กลับมา.. บรรยากาศในอดีตได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง.. แม่ชอบย้อนอดีตในเรื่องเก่าๆ เรื่องความทุกข์ยาก ลำบากรอบด้าน.. แต่แม่ก็มีความสุขในยามที่ทุกคนได้พบหน้ากัน..ถามถึงกัน

...มื้ออาหารของคนบ้านดอยไม่มีอะไรมาก.. มีเพียงแกงหนึ่งอย่าง แต่ใส่ 2-3 ถ้วยในโตก (สำรับ) เดียว หรืออาจจะมีน้ำพริกอีกสักอย่าง.. ไม่มีเนื้อสัตว์มีราคาที่ปิ้งย่าง หรือทอดแนมด้วย.. บางครั้งอาจจะมีไข่ต้ม หมูยอ หรือกุนเชียง แนมกับอาหารรสเผ็ด.. ปลาทูหอม ถือว่าเลิศรสที่สุดและง่ายต่อการทานกับข้าวเหนียวร้อนหอมๆ ที่นึ่งกับเตาถ่านใช้ฟืน!!..

...อาหารคนเมืองจะทานกันง่ายๆ ใช้ผักตามฤดูกาล และเก็บหาง่าย ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินซื้อ นอกจากข้าว บ้านไหนไม่มีที่นา หรือสวน ก็จะรับจ้างทั่วไป หรือหาของป่า เลี้ยงหมู ไก่ แบบเรียบง่ายและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ.. ในแต่ละวันจะไม่มีใครว่างอยู่เฉย แม้ที่บ้านจะไม่มีไร่นา มีเพียงแต่สวนเล็กๆ เราก็ทำไร่ปลูกถั่วแดงไว้กินเสมอ.. ยายมักจะฝากถั่วแดงน้อยและถั่วแดงหลวงให้ลูกหลานในกรุงเทพฯ ไว้กินเสมอ.. ยามว่างหลังจากมื้ออาหาร แม่และน้าๆ จะลงมานั่งอยู่บนแคร่ใต้ถุนเรือน.. แข่งกันสานหญ้าคา.. เพื่อย้อนอดีตและช่วยยายทำให้ได้เยอะๆ แต่ละคนมีลีลาและความรวดเร็ว สวยงามต่างกันไป เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ยืนมองและนึกสนุกคอยเจียดตอกไว้ให้บ่อยๆ ...



หมายเลขบันทึก: 599913เขียนเมื่อ 24 มกราคม 2016 18:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มกราคม 2016 22:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท