การปฏิบัติซาเซนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานสายนาม-รูปของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภนั้นมีความเหมือนกันกับพระพุทธศาสนานิกายเซน อย่างเช่นการนั่งเจริญสมาธิภาวนา เป้าหมายของการเจริญสมาธิภาวนาตามแนวทางของหลวงพ่อเทียนคือการสร้างความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ตกไปอยู่ในหล่มของความสงบหรือติดอยู่กับสมาธิ หลวงพ่อเทียนจึงสอนให้ผู้ปฏิบัตินั่งสร้างจังหวะ โดยท่านกำหนดรูปแบบเอาไว้๑๔ จังหวะ สำหรับใช้เป็นเครื่องมือสร้างความรู้สึกตัวท่านเรียกการสร้างจังหวะนี้ว่าเป็นลูกกุญแจที่ใช้สำหรับไขไปสู่ความรู้สึกตัวหรือความรู้แจ้ง ในขณะเดียวกันการเจริญสมาธิภาวนาของพระพุทธศาสนานิกายเซน เรียกว่า“การปฏิบัติซาเซ็น” โดยผู้ปฏิบัติต้องนั่งนิ่ง ๆ ลืมตา ให้มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในการสร้างความตื่นตัวอาจารย์เซนผู้ควบคุมการปฏิบัติจะเดินถือไม้สังเกตุไปรอบ ๆเมื่อเห็นว่าผู้ปฏิบัติขาดสติหรือถูกความง่วงเข้าครอบงำอาจารย์เซนก็จะเมตตาใช้ไม้นั้นฟาดลงบนหลังผู้ปฏิบัติสามครั้ง เมื่อผู้ปฏิบัติถูกอาจารย์ฟาดด้วยไม้สามครั้งก็จะต้องแสดงความเคารพอาจารย์ เพราะฉะนั้นการนั่งสร้างจังหวะอย่างที่หลวงพ่อเทียนสอนก็ดี การปฏิบัติซาเซ็นของพระพุทธศาสนานิกายเซ็นก็ดีจึงมีเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างความรู้สึกตัวโดยไม่ให้ติดอยู่กับความสงบที่เกิดจากสมาธินั่นเอง ความเหมือนกันอีกประการหนึ่งของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานสายนาม-รูปของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภกับพระพุทธศาสนานิกายเซนคือการสอนให้ออกมาจากความคิด หลวงพ่อเทียนสอนว่าความคิดเหมือนกับถ้ำหรือมุ้งเมื่อเราเข้าไปอยู่ในถ้ำหรืออยู่ในมุ้ง เราก็จะมองไม่เห็นถ้ำหรือมุ้งนั้นเพราะฉะนั้นเราต้องออกมาจากถ้ำหรือมุ้งคือความคิดนั้นเสียเราจึงจะมองเห็นถ้ำหรือมุ้งคือความคิดนั้น พระพุทธศาสนานิกายเซนก็เช่นเดียวกันที่สอนให้ผู้ปฏิบัติออกมาจากความคิดวิธีการดึงตัวเองออกมาจากความคิดนั้นพระพุทธศาสนานิกายเซนสอนให้ปฏิบัติโดยการขบคิดปริศนาธรรมที่เรียกว่า “โกอาน”ยกตัวอย่างเช่น “อะไรคือเสียงของการตบมือเพียงข้างเดียว” การขบคิดโกอานเป็นเทคนิควิธีการสำหรับการดึงตัวเองออกมาจากความคิดนั่นเอง การปฏิเสธคัมภีร์หรือตัวอักษรการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานสายนามรูปของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภนั้น ท่านสอนไม่ให้ยึดติดในคัมภีร์หรือตัวอักษรเพราะการเจริญสติตามแนวนี้เน้นการรู้สึกตัว ตื่นตัว รับรู้ความจริงหรือสัมผัสกับธรรมชาติตรงๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการคิดด้วยเหตุผลและด้วยความจำหรือสัญญา ท่านสอนว่าความรู้ที่เกิดจากความคิดก็ดีเกิดจากสัญญาความจำก็ดีเป็นเพียงเงาของความจริงไม่ใช่ตัวความจริงเพราะตัวความจริงแท้ต้องเกิดขึ้นในปัจจุบันขณะเท่านั้นความรู้ที่เกิดจากการคิดปรุงปรุงแต่งเป็นความจริงในอนาคตส่วนความรู้ที่เกิดจากสัญญาก็เป็นความจริงในอดีตเพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ตัดความคิดที่เกิดจากการใช้เหตุผลและความรู้ที่เกิดจากสัญญาความจำเพราะมันทำให้การรับรู้ที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเสียไปหลวงพ่อเทียนจึงสอนให้เราออกจากความคิดมาอยู่กับความรู้สึกตัวการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานของหลวงพ่อเทียนจิตตสุโภนั้นสอนให้ไม่ยึดติดกับตำราหรือตัวอักษร เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักปริยัติหรือผู้หมกหมุ่นตำราและทฤษฎีจะไม่ประทับใจในแนวทางการปฏิบัติสายนี้เนื่องจากรูปแบบการปฏิบัติและการตีความคำสอนจะขัดกับสิ่งที่เราเคยศึกษามาแทบทั้งสิ้น ซึ่งตรงนี้เหมือนกับแนวทางของพระพุทธศาสนานิกายเซนที่สอนให้ “ฉีกตำรา”ทิ้งเสียมีเรื่องเล่าของนิกายเซนว่ามีศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเดินทางไปศึกษาธรรมกับพระอาจารย์เซนชื่อดัง ระหว่างที่นั่งสนทนาธรรมกันพระอาจารย์เซนก็หยิบกาน้ำชาขึ้นรินลงในถ้วยชาจนน้ำชาล้นถ้วยและไหลออกมา อาจารย์มหาวิทยาลัยท่านนั้นก็ร้องบอกว่าน้ำชาล้นแล้ว พระอาจารย์เซนก็ตอบว่าเหมือนกับท่านที่เป็นชาล้นถ้วยจนไม่สามารถใส่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะมาศึกษาเซนต้องทำตัวเป็นถ้วยชาที่ว่างเปล่าพร้อมที่จะเปิดรับความรู้ใหม่ ๆ ตัวเองก็เคยตั้งข้อสังเกตว่ามีความเหมือนกันโดยบังเอิญคือปรมาจารย์เซนผู้ยิ่งใหญ่ของจีนอย่างท่านเว่ยหลางผู้เป็นสังฆปรินายกองค์ที่๖ เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ และหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภก็เป็นผู้ไม่รู้หนังสือเหมือนกัน พุทธแบบเซนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวมหาสติปัฏฐานสายนาม-รูปของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภมีความแตกต่างกับรูปแบบปฏิบัติโดยทั่วๆ ไป เหมือนกับที่พระพุทธศาสนานิกายเซนมีความแตกต่างจากพระพุทธศาสนากระแสหลักอย่างนิกายเถรวาทและมหายาน(แม้เซนจะถูกมองว่าเป็นนิกายมหายาน)ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุได้เปรียบเทียบความแตกต่างของเซนกับนิกายหลักเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า เป็นความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาในขอบเขตของคัมภีร์กับพุทธศาสนา(แบบเซน) ที่อยู่เหนือคัมภีร์, พุทธศาสนาที่อิงอยู่กับพิธีรีตองต่าง ๆกับพุทธศาสนาที่เป็นอิสระตามธรรมชาติและเดินตามหลักของธรรมชาติ,พุทธศาสนาที่ให้เชื่อก่อนทำกับพุทธศาสนาที่ให้ลองทำก่อนเชื่อ,พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นวรรณคดีกับพุทธศาสนาประยุกต์, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างพระพุทธศาสนาที่ใช้ได้กับคนบางคนกับพุทธศาสนาที่อาจใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้แก่บุคคลทุกคนแม้ที่ไม่รู้หนังสือขอเพียงแต่ให้มีสติปัญญาตามปกติสามัญมนุษย์เท่านั้นจิตตมาตร์ปรัชญาของพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีชื่อเสียงมีอยู่สองสำนักคือสำนักมาธยามิกะหรือสุญวาทและสำนักโยคาจารหรือวิญญาณวาท สำนักวิชญาณวาทเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงปรากฎการณ์ของจิต ทฤษฎีจิตตมาตร์ (Mind-only)สอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอยู่จริงสิ่งที่มีอยู่จริงมีเพียงจิตเท่านั้น โดยส่วนตัวแล้วยอมรับว่าไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วยกับทัศนะของวิชญาณวาทนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏต่อเรามันไม่มีอยู่จริงทุกสิ่งที่เราเห็นทุกสิ่งที่เราสัมผัสทุกสิ่งที่เรารับรู้จะไม่มีอยู่จริงได้อย่างไร ในเมื่อคนอื่นก็ยอมรับความมีอยู่ของมัน ไม่ใช่เราคนเดียว เพราะฉะนั้นมันต้องมีอยู่จริงๆ สิ จากความเข้าใจเช่นนี้จึงทำให้ไม่ยอมรับทฤษฎีจิตตมาตร์ของวิญญาณวาท แต่เมื่อมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อเทียนจึงทำให้เข้าใจแนวความคิดนี้ว่าจริง ๆ แล้วโยคาจารไม่ได้สอนว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่มีจริง แต่สิ่งต่าง ๆจะมีอยู่จริงก็ต่อเมื่อจิตเข้าไปรับรู้ ธรรมชาติของจิตคือการรับรู้ เมื่อจิตเข้าไปรับรู้ สิ่งต่าง ๆ ปรากฎการณ์ต่างจึงเกิดขึ้น จึงมีขึ้น ถ้าจิตไม่เข้าไปรับรู้ สิ่งต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ก็ไม่มีอยู่จริง สิ่งต่าง ๆ ภายนอกจึงเป็นเพียงอาการของจิตหรือเป็นเพียงเงาสะท้อนของจิตเท่านั้น จากจุดนี้เองเมื่อจิตมนุษย์ว่างเปล่าและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งต่าง ๆที่เป็นเงาสะท้อนของจิตจึงว่างเปล่าและเป็นเพียงมายาเท่านั้นเองการปฏิบัติซาเซน
ไม่มีความเห็น