พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จิตคิดนึก เกิดที่ไหน
"คนชั่ว" ตอบลอยๆ ว่าอย่างไรหนอ ?
******************************
นิตยสารธรรมะใกล้ตัวฉบับที่ ๒๑๘
ประจำวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
มุสาแบบไหนทำให้จิตเพี้ยนกว่ากั
ระหว่างนานๆโกหกทีแบบจังๆ
กับบิดเบือนโน่นนิดนี่หน่อยทุ
อันไหนมีผลให้ความจำผิดเพี้
การเปลี่ยนดำเป็นขาว ซ้ายเป็นขวา
ผิดเป็นถูก ทำเป็นไม่ทำ
ซึ่งใจรู้อยู่ว่าไม่ตรงกั
การสแกนสมองพบว่า
ทำให้สมองทำงานหนักขึ้นสามส่วน
ส่วนแรก คือส่วนของการดึงความจำเก่าขึ้
แล้วสร้างมโนภาพลวงขึ้นแทรกซ้อน
ส่วนที่สอง คือส่วนการคิดลวง
เพื่อกดทับการคิดจะพูดความจริ
ส่วนที่สาม คือส่วนอารมณ์กระวนกระวาย
อันเป็นธรรมชาติของอารมณ์
ถ้านานๆโกหกที
คุณจึงรู้สึกแย่ รู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
เพราะสมองทำงานหนักผิดปกติ
แถมมีการสับภาพความจริงกั
แบบที่ต้องเข้าช่
คือเล็งให้แม่นว่าภาพหลอกต้
เมื่อพูดคุยกับเขาอีกเกี่ยวกั
นี่เอง เป็นเหตุให้คนเราไม่ชอบโกหก
ถ้าคนฟังไม่ได้มีความหมายมากพอ
ก็ไม่อยาก ‘ออกแรงมุสา’ ให้เปลืองพลังงานเปล่า
แต่การสอดแทรก ‘ความเห็นส่วนตัว’
เข้าไปในความจริงอยู่ทุกเมื่
ชนิดจงใจตีไข่ใส่สี หรือจับแพะชนแกะ
ด้วยความมุ่งหวังให้ผู้ฟังเข้
หรือกระทั่งเอาคำพูดของเจ้าตั
แต่ดัดแปลงน้ำเสียงเสียใหม่
จากมีหางเสียงเป็นห้วนกระชาก
เพื่อให้คนฟังนึกว่าเจ้าตัวอยู่
ทั้งที่เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ดี
อย่างนี้เรียกว่าตั้งธงไว้
จะให้เกิดความเข้าใจผิดกัน
เพื่อผลที่ตัวเองต้องการ
พอพูดบิดเบือนทำนองนี้ทุกวัน
จนกระทั่งสมองทำงานแบบ ‘สับขาหลอก’ เป็นปกติ
สมองของคุณจะทำงานซับซ้อน
กระทั่งแยกไม่ออกว่
ที่ตรงกับความจริงบริสุทธิ์
เหมือนทุกความจริงมีสิ่งแปดเปื้
เนื่องจากคิดลวงซ้อนคิดจริง
ถักทอสอดแทรกไปด้วยกันจนไม่ต้
แล้วก็ไม่มีความกระวนกระวาย
เนื่องจากมีข้ออ้างกับตัวเองว่า ‘ก็ตูพูดจริงอ้ะ!’
สรุปคือบิดเบือนนิดผิดเพี้ยนหน่
มันกลายเป็นความทรงจำเบี้
ถ้ามีคนใกล้ตัวที่คุณรู้ว่าเป็น ‘จอมบิด’ อยู่
ก็จะพบได้หลายครั้งว่าเขา ‘จำสับสน’
แยกไม่ออกว่าอันไหนเกิดขึ้นจริ
อันไหน ‘เหมือนเกิดขึ้นจริง’
ในมโนของเขาล้วนๆกันแน่
ก็ขนาดยังไม่ตาย
ความจำยังเพี้ยนได้ตามวิธีคิด
ตายแล้วจะมีชะตาใหม่
ถูกใส่ไคล้ให้ชีวิตเบี้ยวบิดแค่
ก็คงไม่น่าแปลกใจเลย
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
โทษสถานเบาของนักมุสา
คือถูกใส่ไคล้ให้ชีวิตผิดปกติ
ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๘
..............................
||||||||||||||||||||||||||||||
..............................
ขอบพระคุณข้อมูลจาก..
"นิตยสารธรรมะใกล้ตัวฉบับที่ ๒๑๘
ประจำวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘"
ที่ได้เผยแพร่สู่ "สาธารณะ"
ให้ทุกคนในโลกนี้ ได้ทราบว่า...
"อะไรผิด, อะไรถูก"
..............................
||||||||||||||||||||||||||||||
“คนดี” กราบทูลตอบว่าอย่างไรหนอ ?
**********
“คนดี” กราบทูลตอบว่า…
หทยวัตถุ คือ “หทยรูป”
เป็นที่เกิดของ “จิตคิดนึก” พระเจ้าข้า
(“หทยรูป” เป็น “รูป” ที่เกิดจาก “กรรม”
ในสภาวปกติ หทยรูปเกิดที่ “หัวใจ” นั่นเอง)
ในภูมิที่มีขันธ์ ๕
ทุกครั้งที่ "จิต" เกิดขึ้น
ต้องมีที่อาศัยจึงเกิดขึ้นได้
"รูป" ที่เป็นที่เกิดของ "จิต"
เรียกว่า "วัตถุรูป"
วัตถุรูปมี ๖ คือ......
ทางตา วัตถุรูป คือ จักขุปสาทรูป
เป็นที่เกิดของจิต ๒ ดวง
(คือ จักขุวิญญาณ ๒ ดวง)
ทางหู วัตถุรูป คือ โสตปสาทรูป
เป็นที่เกิดของจิต ๒ ดวง
(คือ โสตวิญญาณ ๒ ดวง)
ทางจมูก วัตถุรูป คือ ฆานปสาทรูป
เป็นที่เกิดของจิต ๒ ดวง
(คือ ฆานะวิญญาณ ๒ ดวง)
ทางลิ้น วัตถุรูป คือ ชิวหาปสาทรูป
เป็นที่เกิดของจิต ๒ ดวง
(คือ ชิวหาวิญญาณ ๒ ดวง)
ทางกาย วัตถุรูป คือ กายปสาทรูป
เป็นที่เกิดของจิต ๒ ดวง
(คือ กายวิญญาณ ๒ ดวง)
หทยวัตถุ คือ หทยรูป
เป็นที่เกิดของจิตที่เหลือ ๗๕ ดวง
ขณะนอนหลับ
"จิต" เกิดที่ "หทยวัตถุ"
..............................
"นาม" ธรรม คือ สภาพรู้, อาการรู้
"รูป" ธรรม คือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย
คือ รูป (เช่นสมอง เป็นต้น)
..............................
ปรมัตถธรรมมี ๔
(คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน)..............................
||||||||||||||||||||||||||||||
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จิตคิดนึก เกิดที่ไหน
"คนชั่ว" ตอบลอยๆ ว่าอย่างไรหนอ ?
******************************
"คนชั่ว" ตอบลอยๆ ว่า..
จิตคิดนึก เกิดที่ "สมอง"
ต้อง "สแกนสมอง"
ต้อง "ทำให้สมองทำงานหนักขึ้นสามส่
ต้องมี "ส่วนแรก"
(คือ ส่วนของการดึงความจำเก่าขึ้นมา)
ต้องมี "ส่วนที่สอง"
(คือ ส่วนการคิดลวง
เพื่อกดทับการคิดจะพูดความจริ
ต้องมี "ส่วนที่สาม"
(คือ ส่วนอารมณ์กระวนกระวาย)..............................
||||||||||||||||||||||||||||||
กราบนอบน้อมอาราธนา
'พระสัพพัญญูพุทธเจ้า'
..............................
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย อิติวุตตก
เล่ม ๑ ภาค ๔ หน้าที่ ๑๖๕
{สัมปชานมุสาวาทสูตร}
ว่าด้วยสัมปชานมุสาวาท
จริงอยู่ พระสูตรนี้
'พระผู้มีพระภาคเจ้า' ตรัสแล้ว
พระสูตรนี้ 'พระผู้มีพระภาคเจ้า'
ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า...
ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย
เมื่อบุคคลล่วงธรรมอย่างหนึ่
เรา 'ตถาคต' กล่าวว่า...
บาปกรรมไร ๆ
อันเขาจะไม่พึงทำไม่มีเลย
ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน
คือ สัมปชานมุสาวาท.
'พระผู้มีพระภาคเจ้า'
ได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น
'พระผู้มีพระภาคเจ้า'
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า...
บาปกรรม ที่สัตว์ผู้เป็นคนมักพูดเท็จ
ล่วงธรรมอย่างหนึ่งแล้ว
ข้ามโลกหน้าเสียแล้ว
จะไม่พึงทำ ไม่มีเลย.
เนื้อความแม้นี้
'พระผู้มีพระภาคเจ้า' ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
..............................
จบสัมปชานมุสาวาทสูตรที่ ๕
||||||||||||||||||||||||||||||
แล้วไปกล่าวว่าเป็นจริง
ไม่มีความเห็น