ระบบการบริหารงาน " ตีให้แตกแล้วแยกปกครอง"
คงไม่่มีกล่าวไว้เป็นที่อ้างอิงได้ในตำราบริหารงานใด ๆ
หากแต่ มันอยู่นอกตำรา และหาดูได้ไม่ยากเลย
องค์กรใด ๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ อยู่ในเมืองหรือในชนบทก็ตามแต่
หากผู้นำใช้ระบบการปกครองที่เรียกว่า " ตีให้แตกแล้วแยกปกครอง"
แล้วไซร้...จะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย และไม่มีแม้แต่ " ย่ำอยู่กับที่"
จะมีก็แต่ ถอยหลังลงสู่ห้วงเหวทุกวัน
ผู้นำที่ใช้ระบบการบริหารแบบตีให้แตกแล้วแยกปกครอง
จะเป็นผู้บริหารประเภท ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า " ไม่มีน้ำยา"
บริหารงานไม่เป็น แต่ต้องการจะเป็นผู้บริหารเพราะ ในครั้งที่
ตนเองเป็นลูกน้องจะถูกกดดันมาก ทำอะไรก็มักจะไม่เป็น
ผลสำเร็จ ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องดิ้นรนที่จะหาทางเป็นผู้บริหารให้ได้ ไม่ว่า
จะเป็นได้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง หรือ ไม่ถูกต้องก็ตาม แล้วเมี่อเป็น
ผู้บริหารแล้ว " ความเก็บกด" ที่มีมานานจึงระบายออก
สิ่งที่ต้องดำเนินการเมื่อเข้ามาเป็นผู้บริหารใน
หน่วยงานก็ คือ
๑. พูดว่า " ที่นี่ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย" (เพื่อให้บุคลากร
ในหน่วยงานเห็นว่า ตนเองเข้าใจในงาน และวิเคราะห์
สภาพงานเป็น)
๒. ใช้คนให้ " ถูกใจ" ไม่คำนึงถึงว่าคน ๆ นั้นจะทำงานเป็น
หรือไม่ แต่ถ้า ... ใช่ค่ะ ถูกครับ ได้ค่ะ...เป็นใช้ได้
๓. ล้มเลิกงานของผู้บริหารเก่า ถึงแม้จะเป็นงานที่ดี
ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นงานที่พัฒนาองค์กร
ให้ก้าวหน้ามาตลอดก็ตาม เพื่อให้ทุก ๆ คนเห็นว่า
" ข้า...ก็แน่...ข้าก็ทำได้"
๔. หากในองค์กร บุคลากรทำงานเป็นทีม เป็นระบบการทำงาน
ที่มีเพียงกลุ่มเดียว ก็จะ " ตีให้กลุุ่มแตกแยกกัน"
โดยการ ปรึกษางาน มอบงาน และไว้ใจ ให้ทำงาน
เฉพาะคนที่มักจะเป็น " ลูกทีม หรือ ผู้ตาม"
แล้วหาทาง " ฝัง " คนที่ทำงานในระดับผู้นำ
ไม่ให้ได้มีโอกาสได้หยิบจับงานใด ๆ อีก
๕. จำกำจัด " อำนาจเก่า" (ความนิยมในการทำงาน
ของผู้บริหารคนเก่า) ไม่ให้หลงในความทรงจำ
ของทุก ๆ คน
๖. ใช้" ความดีความชอบ" มาสร้างค่านิยมให้กับตนเอง
" ใครทำถูกใจ...ให้สองขั้น" (อย่างนี้จึงเกิดการ....เลี....)
ไม่ชอบหน้าใคร....ตาย..ไม่ได้เกิด
๗. กุมอำนาจในการทำงานทุกงาน ไว้ในมือ (คงเพราะ
สร้างค่านิยมให้ดูดีว่า..ทำงานเก่ง หรือเกรงลูกน้องจะเหนื่อย)
การทำงาน สั่งงาน ไม่เคยฟังเสียงทักท้วงของลูกน้อง
ไม่เคยกำหนดแนวทางการทำงานได้อย่างชัดเจนหรือ
เป็นเรื่องเป็นราว (เพราะทำงานไม่เป็น)
ไม่ช้า ก็จะเกิดการแตกแยกทั้งการทำงาน และทางความคิด
ขึ้นในหน่วยงานอย่างชัดเจน คนที่ตั้งใจทำงานมาตลอดแต่
ไม่เห็นดีเห็นงามกับระบบงาน ก็จะหมดกำลังใจ ท้อ และถอย
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะดูว่า ทำงานเข้ากับผู้บริหารได้ แต่..
ก็หาความจริงใจกันไม่ได้
ผู้บริหารประเภทนี้ หากมีจุดอ่อน หรือ " แผล" อยู่ด้วยแล้ว
ก็จะถูก ลูกน้องที่ประจบประแจงเก่ง ชักจูงได้ง่ายมาก
อีกทั้งยังหาความจริงใจกับใคร หรือลูกน้องคนไหนก็ไม่ได้
ต้องคอยระแวดระวังตัวตลอดเวลา
แบบนี้ องค์กรจะเดินหน้าไปได้อย่างไร...??
นี่แหละฤทธิ์เดชของระบบงาน " ตีให้แตกแล้วแยกปกครอง"
สภาพนี้เป็นไป เกือบ ทุกโรงเรียนครับ
-สวัสดีครับ..
-การบริหารงานนะครับ?
-เป็นกำลังใจให้กับเด็ก ๆ ทุกคนนะครับ..
หวัดดีจ้ะท่านอาจารย์ต้น เหมือนโรคร้ายที่ลุกลามอ่ะนะ
ทั้ง ๆ ที่เบื้องบนก็รู้ ก็เห์น แต่ก็เหมือนจงใจจะให้การศึกษาไทย
ล่มจมเพราะคนพวกนี้....เวรของเด็ก...กรรมของครู
หวัดดีจ้ะคุณเพชร ใช่เลย...การบริหารที่...หาร...ไม่ลงตัวจ้ะ
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจกันจ้ะ
อ่านแล้วชอบมากครับ
สะท้อนความจริงได้แจ่มชัดมากๆ
มีมุมหยกแซวที่น่ารัก
เป็นภาพสะท้อนระบบและกลไกการศึกษาไปในตัว ...
ขอบพระคุณครับ
หวัดดีจ้ะอาจารย์แผ่นดิน คุณมะเดื่อเขียนจากประสบการณ์จริงจ้ะ
จึงมีไอแห่งความเป็นจริงทั้งบันทึก ขอบคุณจ้าา