การบรรยายเรื่อง “คุณธรรมจริยธรรมของผู้นำนิสิต” ในรายวิชา “ภาวะผู้นำ” โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ศุภวุฒิ โมกข์เมธากุล เป็นอีกประเด็นที่สำคัญมาก เพราะเราถือว่าการมีคุณธรรม คือตัวชี้วัดหนึ่งของการเป็น “ผู้นำ” ที่มี “ภาวะผู้นำ”
ต้นชั่วโมงหลังการแจก “ใบงาน” ทีมกระบวนกรเปิดวีดีทัศน์เรื่อง “นิทานความรับผิดชอบ” ให้นิสิตได้ดูได้ชมกันอย่างเรียบง่าย ซึ่งเป็นสื่อสร้างสรรค์ที่เคยถูกนำไปใช้ประกอบการเรียนรู้ในวิชาการพัฒนานิสิต โดยหลักๆ แล้วส่วนใหญ่เรามักผูกปมประเด็นคุณธรรมจริยธรรมที่หลอมรวมอยู่กับเรื่องครอบครัว และความรับผิดชอบส่วนบุคคลที่มีต้องสถานะของตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วัยรุ่น” ที่มีสถานะของการเป็นบุตร-นักเรียน-คนรัก หรือกระทั่งคนแห่งความคาดหวงของสังคม-
เมื่อเสร็จสิ้นการเรียนรู้ผ่านสื่อสร้างสรรค์แล้ว ก็เข้าโหมดการบรรยายให้ความรู้ในประเด็นคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำนิสิต ซึ่ง ผศ.ศุภวุฒิ โมกข์เมธากุล คือผู้รับผิดชอบหลักในการมาบรรยาย หรือสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับนิสิต
เป็นที่น่าสังเกตว่า การบรรยาย หรือการสร้างกระบวนการเรียนรู้ของ ผศ.ศุภวุฒิฯ ยังคงเรียบง่าย หรือง่ายงามเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่วกวน – ซ้ำซ้อน- ยืดยาด และซ่อนปมอะไรมาก แถมยังชี้ชวนให้นิสิต (ผู้เรียน) ได้คิดตามเป็นระยะๆ รวมถึงการใช้เวลาอันพอเหมาะพอควรที่จะสร้างการเรียนรู้กับนิสิต –
โดยส่วนตัวแล้ว ผมชื่นชอบประเด็นเกี่ยวกับ “สังคหวัตถุ 4” เป็นพิเศษ เพราะถือเป็น “คุณธรรมจริยธรรม” ที่ผู้นำนิสิตพึงมีเป็นอย่างยิ่ง (เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ) เพราะดูเหมือนจะใกล้ตัว หรือใกล้ชิดกับนิยามความเป็นผู้นำของนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ไม่แพ้คุณธรรมประเภทอื่นๆ ซึ่งสังคหวัตถุ 4 เริ่มต้นจากการเป็น “ผู้ให้” (ทาน) หรือ ทำตนให้เป็นประโยชน์ (อัตถาจริย) ที่ล้วนแล้วแต่ร้อยรัดกับนิยามของการเป็นอัตลักษณ์นิสิต (ช่วยเหลือสังคมและชุมชน) หรือจิตสาธารณะ (จิตสำนึกทาสังคม)
นอกจากนั้นผมยังชื่นชมกับการหยิบยก “อคติ 4” (Prejudice) ที่ผมมักพูดเสมอว่าคือ “หลุมดำ” (ไม่ควรประพฤติ) ที่ผู้นำนิสิต หรือกระทั่งผู้นำในระดับเราๆ ท่านๆ ต้องข้ามพ้น หรือกระโจนขึ้นมาให้จงได้ เพราะ “ความลำเอียง” ล้วนเป็นบทล่มสลายของการอยู่ร่วมกัน หรือบทล่มสลายของการเป็น “ผู้นำ” ที่ละข้ามไม่ได้จริงๆ เพราะประเด็นนี้สัมพันธ์กับเรื่องเล่าที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนในประเด็น จริงจัง จริงใจ และ คิดเรื่องงาน (49) : หัวใจแห่งการเป็นผู้ให้ 3 ประการ
การบรรยายของ ผศ.ศุภวุฒิฯ ฟังดูเหมือนบรรยายจริงๆ แต่ยืนยันตรงนี้เลยว่าไม่ใช่การบรรยายภาคทฤษฎีเสียทั้งหมด หากแต่เป็นการเรียนรู้ในแบบกระบวนการ หรือเรียกว่า “กึ่งกระบวนการ” ก็ไม่ผิด เพราะมีการคั่นเวลาจากทฤษฎีสู่การเปิดพื้นที่ให้นิสิตได้ “คิดเอง” ผ่านสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ นั่นก็คือการนำคลิป-วีดีทัศน์มาให้นิสิตได้ดูชมร่วมกันสองเรื่อง คือ แรด Monkey Two และ ทฤษฎีฝูงห่าน
- ผมว่านี่แหละคือการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพราะไม่ติดยึดกับการบรรยายเสียทั้งหมด ทว่าสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้นิสิตได้เรียนรู้ผ่านสื่อรอบตัว ทั้งในระดับบุคคลและทีมไปอย่างน่าชื่นชม
และที่ผมชอบมากอีกประเด็นก็คือเรื่อง การเคารพในศักดิ์ศรีผู้อื่น เสมอเหมือนหลักคิด “มนุษย์นิยม” รวมถึง “หลักธรรมาภิบาล” ( Good Governance) และหลักแห่ง “ความโปร่งใส” ที่ผู้นำควรต้องตระหนักรู้ เนื่องเพราะนี่คืออีกหนึ่งหลักธรรมที่ผู้นำควรรู้-พึงรู้-ตระหนักรู้กับสถานะที่ต้อง “บริการและจัดการ” องค์กร อันหมายถึงการบริหารคน บริหารงานอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้ทั้ง “งานและคน” ไปพร้อมๆ กัน มิใช่ได้งาน แต่ “คน” (ขุนพล) ตายเรียบ !ประกอบด้วยหลักคิดสำคัญๆ คือ
แน่นอนครับ- ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบในระบบการเรียนการสอน แต่เท่าทีเฝ้าสังเกตการบรรยายเพื่อสร้างการเรียนรู้ของ ผศ.ศุภวุฒิ โมกข์เมธากุล ในรายวิชาภาวะผู้นำ คืออีกหนึ่งการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพราะไม่ใช่การจ่อมจมกับความรู้ภาคทฤษฎี หากแต่พยายามสร้างสรรค์กระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนแบบมีส่วนร่วมอย่างน่าชื่นใจ... ไม่ใช่สื่อสารทางเดียวให้จบๆ ชั่วโมงไป-
ใช่ครับ- บรรยายไปพรางๆ ตั้งประเด็นชวนพูด ชวนคิดไปพรางๆ แถมยังเปิดคลิป/วีดีทัศน์ให้ดูเพื่อให้นิสิต (ผู้เรียน) ได้ถอดรหัสความรู้จากสื่อเหล่านั้น
นี่คือสไตล์ “บันเทิงเริงปัญญา” ในแบบฉบับวิชา “ภาวะผู้นำ” วิชาที่แตกหน่อก่อร่างมาจากวิชา “การพัฒนานิสิต” ในหมวดศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เสียดายก็แต่ ไม่ใช่วิชาบังคับเลือกเท่านั้นเอง – 555555555555555555555
หมายเหตุ
1.ภาย โดย ทีมกระบวนกร และนิสิตจิตอาสา กองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2.ผศ.ศุภวุฒิ โมกข์เมธากุล (สังกัดคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และหนึ่งในคณะทำงานวิชาพัฒนานิสิตในยุคเริ่มต้น)
มีทีมทำงานที่ครบขั้นตอนและกระบวนการ
ชอบใจการทำงานและการถ่ายทอดความรู้
รออ่านหนังสือชุดนี้เลยครับ
ใช่ครับ กำลังคิดเหมือนกันครับอาจารย์ขจิตฯ กำลังคิดที่จะเขียนหนังสือ เผื่อใครๆ ได้ประยุกต์ใช้ เพราะนี่คือการเรียนรู้ในชั้นเรียนที่เป็นกระบวนการ ไม่ใช่บรรยายและจดๆๆๆๆๆ....
เรียนแบบ บันเทิง เริงปัญญา ครับ