"พี่หนาน"
นาย พรพจน์ พี่หนาน เรียงประพัฒน์

​“ทำไมชาวยิวทั่วโลกส่วนใหญ่...ถึงรวยมาก?”


๑๗/๐๖/๒๕๕๘

**********

“ทำไมชาวยิวทั่วโลกส่วนใหญ่...ถึงรวยมาก?”

...
ชาวยิวในโลกนี้ มีจำนวนประชากรทั้งหมด โดยประมาณ ๒๐ ล้านคน กระจัดกระจายไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อันเนื่องมาจากการอพยพหนีภัยสงคราม (สงครามทะเลแดงและสงครามล้างเผ่าพันธุ์) ส่วนใหญ่ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศอิสราเอล เมืองที่มีความแห้งแล้ง ความขัดแย้งทางด้านศาสนาและสงครามกลางเมืองตลอดมา ...ถึงแม้จะมีจำนวนประชากรไม่มากในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น แต่ชาวยิวก็มีลักษณะโดดเด่นที่น่าสนใจและน่าศึกษา ในความเป็นผู้มั่งคั่ง ร่ำรวย และมีชื่อเสียงมาก ขอสรุปหลักคิด การทำธุรกิจ หรือการค้าขายของชาวยิวเป็นข้อ ๆ มาให้อ่านกัน ดังต่อไปนี้...

๑. ชาวยิว มีลักษณ์โดดเด่น คือ “มีพันธุกรรมดี มีสมองเป็นเลิศ ขยันอดทน และไม่ย่อท้อ” ชาวยิวที่กระจัดกระจายอยู่ตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก คือผู้ควบคุมเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ไว้ ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีประชากรชาวยิว ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ มหาเศรษฐี 1 ใน 3 ที่ได้ถูกจัดอันดับว่ารวยที่สุด กลับมีพื้นเพ หรือภูมิหลังเป็นชาวยิว เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดแล้ว มากกว่าชาวสหรัฐฯทั่วไปเสียอีก ...ตัวอย่างของผู้มีเชื้อสายชาวยิวจากอดีตถึงปัจจุบันที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น อัลเบิร์ต ไอสไตน์(นักวิทยาศาสตร์:ทฤษฎีสัมพัทธภาพ), คาร์ลมาร์ค(นักเศรษฐศาสตร์การเมือง,นักปฏิวัติสังคม), ซิคมัล ฟรอยด์(นักจิตวิทยาวิเคราะห์), จอร์จ โซรอส(นักวิเคราะห์ค่าเงิน:ฉายาพ่อมดการเงิน), เบน เบอร์นันเก้(ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)), อลัน กรีนสแปน (อดีตประธานเฟด), แอนดี โกรฟ(วิศกรและCEOรุ่นที่สามของอินเทล:ผู้ร่วมยกระดับซิลิคอนวัลเล่ย์), สตีเวน สปีลเบิร์ก(ผู้กำกับภาพยนตร์),เซอร์เกย์ บริน(ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล) และ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (มหาเศรษฐีหนุ่มน้อยที่ร่ำรวยที่สุด) ผู้ร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊ก ที่เรากำลังใช้งานกันอยู่นี้ เขาก็มีสายพันธุ์ดี มีสมองเลิศ ยอดเยี่ยม ขั้นอัจฉริยะ ขยันอดทน และเป็นผู้ไม่ย่อท้อต่อการทำงาน อีกคนหนึ่ง...

๒. ชาวยิว มีปรัชญา หลักคิดที่สุขุมลึกซึ้ง “ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สำคัญกว่าการกินอยู่” ชาวยิวนิยมหาที่พักในที่ปลอดภัย เนื่องจากพวกเขาต้องหลบภัย หรือมีประวัติการเดินทางจากอดีตที่ผ่านมาอันยาวนาน การจ่ายเพื่อที่พักและภาษี จะยินยอมจ่ายโดยไม่อิดออด หรือมีข้อแม้ ...หากเป็นการจ่ายเพื่อการเลี้ยงชีพในวิถีชีวิตประจำวัน พวกเขาจะประหยัด มัธยัสถ์ อดออม ใช้จ่ายอย่างรู้ค่า ไม่สุรุ่ยสุร่าย หรือฟุ่มเฟือย จนฝ่ายตรงข้ามมองเขาว่า “ชาวยิวขี้เหนียว” “เห็นแก่ตัว” ...

๓. ชาวยิว มีความเชื่อว่า “เรื่องสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือการหาเงิน” “เงินคือแสงสว่างที่สามารถสัมผัสได้” “เงินคือพระเจ้าที่แท้จริง” หรือ “เงินคือพระเจ้าที่ปลอมตัวมา” ที่สำคัญ “เงินบ่งบอกถึงความสำเร็จของมนุษย์” ...การหาเงินของชาวยิวส่วนใหญ่ ในอดีต มีฐานคิดมาจาก “ความไม่มั่นคง” พวกเขาจะเริ่มค้าขายสิ่งที่มีค่าที่สุด เก็บง่ายที่สุด เคลื่อนย้ายเร็วที่สุด เพื่อการหลบหลีก หรือการหลีกหนี เช่น การค้าขายอัญมณี ค้าขายเครื่องเพชร ทอง เงิน นาค เป็นสำคัญ เมื่อเดินทางเข้าไปอยู่ยังประเทศใด ก็จะเข้าถึงชนชั้นผู้นำ มีการต่อรองเรื่องที่พัก เรื่องความปลอดภัย เรื่องธุรกิจ การค้าขายของประเทศ การนำสิ่งมีค่าที่ติดตัวมาใช้จึงสะดวก รวดเร็ว และเป็นที่ต้องการของชนชั้นผู้นำ...

๔. ชาวยิว “เมื่อจะทำธุรกิจใด จะศึกษาเรื่องนั้นก่อน อย่างละเอียด รอบคอบ รอบด้าน มุ่งมั่นและจริงจัง” เมื่อมั่นใจแล้วก็จะรีบดำเนินการโดยทันที โดยชาวยิวเห็นว่า “คนมีความเสมอภาคในการหาเงิน ไม่มีแบ่งว่าใครสูงหรือต่ำ” อยู่ที่ว่า สายตาของใครจะแหลมคมมองเห็นโอกาสได้ดีกว่ากัน และเห็นว่า “เงินที่ได้มาจากชนชั้นแบกหามหรือชนชั้นนักธุรกิจ ก็ไม่มีความแตกต่างกัน” เงินที่ได้รับมาจากใคร เงินก็คงมีมูลค่าและคุณค่าในตัวของมันเองเสมอ ไม่ว่าจะได้รับมาจากมือของชนชั้นกรรมกร หรือชนชั้นกลางก็ตาม “เงินคือสิ่งที่ก่อให้เกิดความปลื้มใจได้ทุกครั้ง” ไม่มีเปลี่ยน…

๕. ชาวยิว “ชอบตัวเลข” เป็นชีวิตจิตใจ และยังสอนลูกหลาน “ให้คิดเป็นตัวเลข” ด้วย เวลาว่างพากันเข้าโบสถ์ มักจะพูดคุยเรื่องการค้าขาย อุณหภูมิ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ...คนทั่วไปถามไถ่กันว่า วันนี้อากาศร้อนไหม? ...อากาศเย็นไหม? ...แต่ชาวยิวจะถามในลักษณะว่า ...วันนี้อุณหภูมิสูงกี่องศา? ...วันนี้อุณหภูมิลดกี่องศา? ...ตัวเลขสำคัญที่นิยมใช้กันคือ 78 : 22 หมายถึง อัตราสัดส่วนต่าง ๆ ของการค้าขายที่สอนกันมาแต่โบราณแล้ว มีวิธีการเทียบโดยการเขียน สี่เหลี่ยมจัตุรัส 1 ภาพ แล้วเขียนวงกลมทับภายในเส้นสี่เหลี่ยมนั้น ส่วนที่อยู่นอกวงกลมทั้งสี่ด้าน คือ ส่วนที่ชาวยิวกำหนดให้เท่ากับ 22 ส่วนภายในวงกลม คือ 78 อัตราส่วนนี้ใช้ได้กับหลายเรื่อง ...
เมื่อนำมาใช้กำหนดด้านการค้าขาย เช่น มีเครื่องเขียนอยู่ 100 เปอร์เซ็นต์(ชนิด) เครื่องเขียนที่ขายดีมากมีจำนวน 22 เปอร์เซ็นต์(ชนิด)เท่านั้น ที่เหลืออีก 78 เปอร์เซ็นต์(ชนิด) ขายได้เรื่อย ๆ (รวยช้า) หรือมีสินค้าพลาสติกจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์(ชนิด) ขายดีมาก ๆ จำนวน 78 เปอร์เซ็นต์(ชนิด) ที่เหลือ 22 เปอร์เซ็นต์(ชนิด) ขายไม่ค่อยออก(แบบนี้รวยเร็ว..ฮา) เป็นต้น ...หลักการหรือกฎนี้ ปัจจุบันพ่อค้าวาณิชย์ทั้งหลาย ได้นำมาปรับเป็นสัดส่วนให้ใกล้เคียงหรือเข้าใจง่ายขึ้นคือ หลัก 80:20 ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างกันกับของชาวยิวมากสักเท่าไหร่ พออนุโลมได้...

๖. ชาวยิว “ไม่นิยมเก็บเงินไว้กับธนาคาร แต่จะนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินแทน” นั่นก็เพราะภูมิหลังเดิมที่เคยกล่าวถึงมาด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง เพราะมองเห็นว่า เงินที่นำไปฝากนั้น ได้ดอกเบี้ยน้อย เช่น ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์(ธ.กรุงไทย) จะอยู่ที่ ร้อยละ 50 สตางค์ เงินฝากประจำ 3 เดือนจะอยู่ที่ 90 สตางค์(ยังไม่ถึงบาทเลย) แล้วเงินกู้ของธนาคารล่ะเขาปล่อยให้กู้ร้อยละเท่าไหร่ ลูกค้ารายย่อยชั้นดี ร้อยละ 7.875 บาท (เกือบ 8 บาท) คนกู้มีเยอะกว่าคนฝาก แต่ธนาคารก็อยู่ได้ เพราะเงินฝากของลูกค้าที่นำไปปล่อยกู้ และ ดอกเบี้ยจากเงินกู้ที่สูงมาก นั่นเอง ...การนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินอย่างอื่น เช่น อสังหาฯ หุ้น อัญมณี ทอง เงิน(ปล่อยกู้นอกระบบ) ค้าขาย ย่อมได้กำไรมากกว่ากันหลายเท่าตัว ชาวยิว “มองเห็นความต่าง” ตรงนี้ จึงไม่นิยมนำเงินไปฝากหรือเก็บไว้กับธนาคาร...

๗. ชาวยิว เน้นการขายของให้กับ “คนรวย” และ “ผู้หญิง” คนรวยหมายถึง เน้นการทำธุรกิจที่สนอง “ความต้องการ”(Want) (ดั่งเคยกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว) เพราะคนกลุ่มนี้มีเงินมาก กลุ่มชนชั้นกลางหรือเศรษฐี ที่พร้อมจะยอมจ่ายเพื่อ สนองอารมณ์ มากกว่า สนองความจำเป็นพื้นฐาน หรือปัจจัย 4 (Needs) ...ส่วนผู้หญิงนั้น ชาวยิวมองว่า ผู้หญิงมีเงิน เป็นแม่บ้านเป็นผู้เก็บเงิน ผู้ชายเป็นผู้ทำงานเป็นผู้หาเงิน พอได้เงินมาก็นำมาให้ผู้หญิงเก็บรักษา บริหารจัดการภายในบ้าน การทำธุรกิจกับผู้หญิงจึงมุ่งเน้นไปที่ “ความสวย” “ความงาม” เป็นเป้าประสงค์หลัก เช่น เครื่องแต่งกายหรู เครื่องสำอาง อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน เป็นต้น ...เมื่อลองนำทั้งสองอย่างมารวมกันก็จะเกิดเป็นสิ่งเลอค่า เช่น ชุดแต่งกายประดับเพชร ..ประดับทับทิม สร้อยคอฝังเพชร ..ฝังพลอย นาฬิกาโรเล๊กซ์ฝังเพชร ..ฝังพลอย เป็นต้น...

๘. ชาวยิว ไม่นิยมทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกหลาน นอกจากคำสอน หลักชวนคิด ในการทำธุรกิจ หรือสร้างอาชีพว่า... “การเอาเวลากับเเรงงงานไปเสียเพื่อให้เกิดเงินกลับมานั้นโง่มาก เพราะเเรงกับเวลามีจำกัด ดังนั้น ควรเอาเวลากับเเรง ไปบริหารคนเเล้วเกิดเงินกลับมา” ..."ทรัพย์สมบัติเพียงประการเดียว(ของลูก)ที่มีคือ ‘สติปัญญา’ ..เมื่อคนอื่นบอกว่า 1 + 1 = 2 ลูกจะต้องหาทางคิดให้มากกว่า 2 ให้ได้"

...ยกตัวอย่าง เมื่อปี 1974(พ.ศ.2517 ) รัฐบาลสหรัฐฯได้จัดให้มีการบูรณะซ่อมแซมอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพใหม่ หลังจากเสร็จแล้ว ส่งผลให้มีขยะกองโต มีทั้งนอต ทองแดง เศษไม้ เศษฝุ่นผง เต็มไปหมด หาผู้มาประมูลและรับรีไซเคิลยาก ชายหนุ่มชาวยิวคนหนึ่งกำลังมองหาช่องทางการทำธุรกิจอยู่ที่ต่างประเทศ พอรู้ข่าวนี้รีบตีตั๋วเครื่องบินกลับทันที พอมาถึงสหรัฐฯรีบอาสาเข้าไปประมูลกับรัฐบาล ในราคาที่พอตกลงกันได้ หลังจากเซ็นสัญญาเรียบร้อย เขาก็ได้เริ่มรวบรวมผู้คนมาช่วยคัดแยกขยะออกเป็นหมวด ๆ โดยให้นำเศษทองแดงไปหลอมทำเป็นรูปจำลองอนุสาวรีย์ขนาดเล็ก ให้นำเศษไม้มาทำเป็นฐานของอนุสาวรีย์ฯ ขอบเศษทองแดงและอลูมิเนียม ให้นำมาทำเป็นกุญแจจัตุรัสไทม์สแควร์ ส่วนฝุ่นละอองที่ขัดและปัดเป่าลงมาจากอนุสาวรีย์ใหญ่ที่ส่งแสงประกายระยิบระยับ ก็ให้คนงานรวบรวมไปขายให้กับร้านขายดอกไม้ ...เศษขยะกองโต จากการคัดแยกประเภท และนำกลับมาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ เหล่านี้ ถูกนำไปจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าเดิมหลายพันหลายหมื่นเท่า แถมยังไม่พอกับความต้องการของตลาดด้านการท่องเที่ยวเสียอีก ...ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามเดือน ชายหนุ่มชาวยิวคนนี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะกองโต จนมีมูลค่าสูงถึง 3.5 ล้านดอลลาร์ ทองแดงแต่ละปอนด์ที่เขานำมาเข้ากระบวนการคิดบวกใหม่นั้น สามารถสร้างมูลค่าสูงกว่าราคาทองแดงเดิมจากปกติถึงหนึ่งหมื่นเท่า ...โอ!! ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สามารถชี้ให้เห็นว่า ...ชาวยิวคือผู้มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจแทบทุกด้านของสหรัฐอเมริกาเกือบทั้งหมด...
หากเห็นว่าเกิดประโยชน์ สามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ ผู้เขียนก็ยินดีอย่างยิ่งครับผม
...
“พี่หนาน”
16/6/2558

.......
ดูข้อมูลเพิ่มเติม การริวิวหนังสือของนักศึกษา ม.ศรีปทุม จากลิ้งค์ด้านล่างครับ...
http://thongchai99.blogspot.com/
https://youtu.be/nuJQ06ogIaQ

ขอบคุณทุกท่านที่สนใจ ขอบคุณโกทูโนว์

ถูกใจ · ความคิดเห็น ·
หมายเลขบันทึก: 591177เขียนเมื่อ 17 มิถุนายน 2015 10:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2015 11:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ขอบคุณความรู้ดีดีนี้ค่ะ .... เอาลูกจัน มาฝากค่ะ


เมื่อสมัยก่อนๆนี้ในประเทศไทย..เรียกผู้เบียดบังทางเศษฐกิจแบบชาวบ้านๆ ว่า"ยิว" เจ้าค่ะ..

ขอบคุณลูกจันลูกสวยๆ ของคุณหมอเปิ้ลDr. Ple มากนะครับ...สบายดีนะครับ?

ขอขอบคุณคุณยายธี ที่ช่วยเสริม เพิ่มเติมความรู้ให้มากครับ...คุณยายสบายดีนะครับ?

“การเอาเวลากับเเรงงงานไปเสียเพื่อให้เกิดเงินกลับมานั้นโง่มาก เพราะเเรงกับเวลามีจำกัด ดังนั้น ควรเอาเวลากับเเรง ไปบริหารคนเเล้วเกิดเงินกลับมา” ..."ทรัพย์สมบัติเพียงประการเดียว(ของลูก)ที่มีคือ ‘สติปัญญา’ ..เมื่อคนอื่นบอกว่า 1 + 1 = 2 ลูกจะต้องหาทางคิดให้มากกว่า 2 ให้ได้".....

ชอบบันทึกนี้จัง

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับคุณพี่ พ.แจ่มจำรัส สบายดีนะครับ?...

ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยียน มาอ่านพร้อมกับจับใจความหรือประเด็นที่ชอบ ที่เห็นว่าสำคัญ...ผมก็ชอบเหมือนกันครับ แต่ยังทำไม่ได้ เพราะยังไม่มี "คน" ให้บริหาร...หรือยังไม่เคยบริหารใคร ลำพังตัวเองก็แย่อยู่แล้ว...

แนวคิดการรีไซเคิลขยะ ก็มีต้นกำเนิดมาจากชาวยิวนี่แหละครับ(หนังสือเขาว่ามา)...

มองในมุมกลับแนวคิดของไทย 3+1 = 1 นะครับ...มีข้าวเปลือกอยู่ 3 กอง เมื่อนำไปรวมกับกองใหญ่ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้วหนึ่งกอง ก็เท่ากับ 1 กอง เหมือนเดิม เพียงแต่จะเพิ่มปริมาณที่มากกว่าเดิมใช่ไหมครับ...ฮา

แนวคิดเรื่องไซออนิสต์ละครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท