พรรค สันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ NLD ดูเหมือนว่าในที่สุดจะให้การสนับสนุนเรื่องมุสลิมโรฮิงยาที่ได้รับความทุกข์ทรมาน หลังจากที่หลายปีล่วงมานี้พยายามที่จะไม่สนใจสภาพอันเลวร้ายของพวกเขา
ตามรายงานต่อ the Independent โฆษกของพรรค NLD ที่ชื่อ U Nyan Win กล่าวว่า "ปัญหาต้องการการแก้ปัญหาโดยกฎหมาย กฎหมายจะต้องถูกแก้ไข หลังจากที่ผ่านมาแล้ว 1-2 รุ่น พวกเขาควรจะมีสิทธิในการเป็นพลเมือง"
สิ่งนี้แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามสิ่งที่ซูจี และพรรค NLD ได้เคยพูดไว้ในสถานการณ์ของโรฮิงยา
ซู จี ไม่เคยพูดเกี่ยวกับโรฮิงยามาก่อน เมื่อถูกกดดัน เธอปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์กับทั้งชาวพุทธในยะไข่ หรือกองกำลังรักษาความสงบ ในเรื่องความรุนแรง ที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ในหลายปีนี้ แทนที่หล่อนจะพูดถึงความรุนแรงระหว่างชาวพุทธและชาวโรฮิงยา แต่หล่อนชอบที่จะพูดเกี่ยวกับกฎหมายและสันติวิธี (non-violence)มากกว่า ที่จะวิพากษ์วิธีการที่พวกโรฮิงยาถูกกระทำ
นักกิจกรรมต่างได้วิจารณ์สถานะของเธอ Chris Lewa ซึ่งเป็นกลุ่มทนายของชาวโรฮิงยา กล่าวว่า "ความเงียบมิได้แปลว่าเป็นกลาง แต่เป็นไฟเขียวในทำให้คนต้องการความรุนแรง, เป็นสภาวะแห่งการไม่ต้องได้รับโทษ และ ความไม่ปลอดภัย"
ในรายงานปี 2013 ผู้จัดการการดูแลสิทธิมนุษยชน ที่ชื่อ Kenneth Roth ก็วิจารณ์ซู จี เช่นเดียวกัน เขากล่าวว่า ซูจีต้องเป็นหลักในการปกป้องสิทธิมนุษยชน นอกจากซูจี จะยังคงเงียบแล้ว แต่พรรค NLD ก็ยังคงไม่พูดเกี่ยวกับโรฮิงยา บางครั้ง ดูเหมือนว่าจะยกโทษพฤติกรรมที่ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายลงไปอีก
กฎหมายสิทธิพลเมืองของพม่าเกิดขึ้นในปี 1982 ซึ่งครอบคลุมชนเผ่าถึง 135 เผ่า แต่ยกเว้นโรฮิงยาพวกเดียว ซึ่งเป็นสาเหตุของการปฏิเสธโรฮิงยาในเรื่องพลเมืองและสิทธิ เมื่อพรรค NLD ถูกถามในปี 2012 ว่าสมควรที่กฏหมยจะถูกเปลี่ยนหรือไม่ โฆษกพรรค NLD บอกกับ DVB ว่า มันขึ้นอยู่กับสภาแห่งชาติ (the national parliament) ที่จะตัดสินใจว่าจะยกเลิกกฎหมายนี้หรือไม่
เมื่อไม่นานมานี้, ในเดือนมกราคมในปีนี้, ประธาน Daw Khin San Hlaing แห่งพรรค NLD ได้ส่งข้อเสนอต่อสภาว่าด้วยการกีดกันความพลเมืองแบบชั่วคราว, ที่รู้จักกันในนามการถือบัตรสีขาว เพราะเป็นสีของบัตรประชาชน, จากการโหวตการยอมรบรัฐธรรมนูญ (กล่าวคือไม่ยอมรับให้ผู้ที่ถือบัตรขาวลงประชามติ)
มีบัตรสีขาวประมาณ 1.5 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นพวกโรฮิงยา
เหตุผลที่ Daw Khin San Hlaing นำเสนอข้อเสนอ ก็เพราะภายใต้การแก้ไข ที่ทำต่อกฎหมายการสมัครพรรคการเมืองเมื่อปีที่แล้ว คนที่ถือบัตรสีขาวจะไม่อนุญาตให้โหวตในการยอมรับรัฐธรรมนูญ
ซู จี พยายามเพิกเฉยต่อการแก้ไข เพราะ พรรคแห่งชาติยะไข่ (Rakhine National Party) ไม่ต้องการให้พวกโรฮิงยามีส่วนในทางการเมือง และถือว่าพวกโรฮิงยานั้นเป็นผู้อพยพจากบังคลาเดชที่ผิดกฎหมาย
เมื่อรัฐบาลประกาศว่าพวกที่ถือบัตรขาวจะหมดอายุในเดือนมีนาคม วันที่ 31 แต่พวกโรฮิงยาส่วนใหญ่ปฏิเสธในการคืนบัตรสีขาว เพราะว่าพวกเขากังวลใจเรื่องเมื่อพวกเขาให้บัตรขาวคืนแล้ว ก็เหมือนกับการให้บัตรประชาชนคืนไป ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่รัฐบาลจะผลักดันพวกเขาให้ออกจากประเทศ
ในรายงานของ Kenneth Roth เขาให้เหตุผลที่ทำไมซู จี จึงไม่ปกป้องพวกโรฮิงยา เขากล่าวว่า "เพราะว่าพวกโรฮิงยาเป็นพวกไร้รัฐและมีคุณค่าน้อย รวมทั้งไม่มีชื่อเสียงใดๆในประเทศพม่า ดังนั้นหล่อนจึงปฏิเสธที่จะปกป้องพวกเขาโดยทางการพูด ในขณะที่พวกเขาถูกทำร้ายอย่างแสนสาหัส อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบิล พยายามปกป้องสถานะของหล่อน โดยการกล่าวว่า หล่อนเป็นนักการเมือง และเป็นอย่างนั้นเสมอมา
จะเห็นอย่างชัดเจนว่า พวกโรฮิงยาเป็นบุคคลที่ไร้ชื่อเสียงเมื่อเทียบกับบุคคลอื่นๆ ไร้ชื่อเสียงเสียจนไม่สามารถจะโหวตให้พรรค NLD ได้ และถ้าพรรค NLD พยายามจะสนับสนุนโรฮิงยา พรรคนั้นอาจสูญเสียการโหวตได้ การเกิดขึ้นของชาวพุทธสุดโต่ง (fundamentalist Buddhist) ที่ชื่อว่า พระวีราธุ และนโยบาย 969 ของเขา และชาวพุทธแบบสุดโต่งอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ Mar Bar Tha goup หรือที่เรียกกันว่า คณะกรรมการปกป้องชาติและศาสนา ก่อให้เกิดความเกลียดชังแต่พวกโรฮิงยาอีกด้วย
ไม่น่าสงสัยแต่อย่างใดว่าทั้งสองกลุ่มนั้น ทำให้ออง ซาน ซู จี และพรรค NLD จึงไม่พูดต่อต้านพระวีราธุ จริงๆแล้วทั้งซู จี และพรรค NLD ต่างพึงพอใจในการสงบปากเสียด้วยซ้ำ
เมื่อโฆษกพรรค NLD ที่ชื่อ Htin Linn Oo พูดจาต่อต้านพวกสุดโต่งทางศาสนา ซึ่งก็คือพวก Ma Ba Tha พรรค NLD ไล่เขาจากพรรค เพราะการกดดันจาก Ma Ba Tha เอง ในตอนนั้น โฆษกพรรคได้ถูกกล่าวหาว่าผิดพระราชบัญญัติ 295 (a) ในการสบประมาทพระศาสนา และ 298 เรื่องทำลายความรู้สึกเกี่ยวกับพระศาสนา ประชาชนหลายคนจะรู้สึกยินดีในการกลับมาของโฆษก แต่ถ้าหากอธิบายพฤติกรรมของเขาในอดีตแล้วหละก็ จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดถึงท่าทีของซู จี และ พรรค NLD จะรับรองคำพูดของ Nyan Win ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
Mark Farmaner กล่าวว่า "เราจะต้องระมัดระวังตัวเกี่ยวกับคำพูดของ Nyan Win เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เตรียมการมาพูดแต่อย่างใด และอย่างที่เราเห็นโฆษกพรรค NLD ชอบยกเลิกคำพูดที่เคยพูดไว้แล้ว เมื่อเราเห็นตราของพรรค NLD นั่นแหละ เราจึงจะรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายเกิดขึ้นแล้ว"
Phil Robertson ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรทางมนุษยชน จะสงสัยเกี่ยวกับข่าวที่ได้ยินเสมอ เขากล่าวว่า " คำพูดของ Nyan Win เป็นตัวแปรในสูตรที่เป็นมาตรฐานของพวกพรรค NLD ในการยืนยันถึงหลักนิติธรรม (rule of law) และหลักนิติธรรมนี่แหละเป็นตัวแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากทั้งมวล แต่อย่างน้อย ก็เป็นสิ่งที่น่าหวังได้ว่า จะมีการพิจารณาประเด็นเรื่องความเป็นพลเมืองของพวกโรฮิงยา Nyan Win กล่าวถูกที่ว่าพวกโรฮิงยาเป็นมนุษย์ และสิทธิในการเป็นมนุษย์ของเขาต้องได้รับความเคารพ แต่ออง ซาน เป็นเสียงที่สำคัญที่สุดในพรรค และหล่อนจะต้องอธิบายสถานะที่หล่อนดำรงอยู่"
หนังสืออ้างอิง
Mark Inkey. (2015). Will Aung San Suu Kyi break her silence on Burma's Rohingya crisis?
ความเงียบ การไม่พูด นั้น เป็นคำตอบอย่างหนึ่งที่มีนัยยะสำคัญของการเมือง
ยามนี้...การเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหานะคะ ...
สมควรที่ชาวโลกตั้งคำถามนี้
อันที่จริงในทางการเมือง ทุกการกระทำและการพูดมีเบื้องหลังอยู่
อังกฤษที่เป็นต้นตอก็คงจะไม่พูดอะไร