เช้าวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ วันตรุษจีน ผศ. ดร. อภิลักษณ์ เกษมผลกูล คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เอากระเช้าขนมหมี่กรอบมาให้ บอกว่าเป็นผลงานของนักศึกษาชั้นปีที่ ๔ ในรายวิชา บูรณาการภาษาและวรรณกรรมไทยเพื่อการพัฒนา เป็นวิชา ๓ หน่วยกิต เรียนในเทอม ๑ นอกจากขนมจะอร่อย แล้ว คำบอกเล่าวิธีการจัดการเรียนรู้ของท่านคณบดียิ่งน่าสนใจกว่า
ที่จริงวิธีการเรียนก็คือการทำโครงงาน หรือ PBL – Project-Based Learning ตามปกตินั่นเอง แต่ที่ไม่ธรรมดาคือวิธีจัดทีมทำงาน และวิธี "ปลุกใจ" นักศึกษาก่อนทำโครงงาน
วิธีปลุกใจทำโดยให้กลับไปซักประวัติพ่อแม่ปู่ย่าตายายเพื่อทำ พงศาวลี (family tree) ของตน ทำให้รู้รากเหง้า เทือกเถาเหล่ากอของตน ท่านคณบดีเล่าว่า นักศึกษาแต่ละคนรู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย
นักศึกษาแต่ละคนต้องบอกคุณลักษณะของตน ๓ อย่าง คือ (๑) ชอบอะไร (๒) ถนัดอะไร (๓) พงศาวลี แล้วนำมาใช้เป็นข้อมูลมาจัดทีมทำงาน ให้แต่ละทีมมีสมาชิกที่หลากหลายความถนัด และมีคนที่มีทักษะ ที่ต้องการของงานในทีมนั้น อย่างผลงานตามในรูป ทีมงานมี ๖ คน หนึ่งคนมีความถนัดด้านศิลปะ การออกแบบ
การทำโครงงาน ต้องออกไปทำร่วมกับคนในชุมชน บนฐานของกิจกรรมหรืองานจริง ขายจริง ผมไม่มีเวลาซักรายละเอียดจากท่านคณบดี ซึ่งถ้าซักคงจะได้เรียนรู้วิธีออกแบบการเรียนรู้ที่แยบยล มากขึ้นอีก
ผมมัวตื่นเต้น ที่จะแนะนำท่านว่า ให้หาทางทำให้งานเรียนรู้ และรับใช้ (ชุมชน) ต่อยอดไปเป็นงานวิจัย ที่อาจารย์ที่ปรึกษาเก็บข้อมูลเอาไปเขียนรายงานตีพิมพ์ได้ โดยมีงานเพิ่ม ๓ อย่าง ได้แก่ (๑) อ่านวารสารที่ ตีพิมพ์ผลงานจำพวกนี้ (๒) คิดโจทย์วิจัย (๓) ออกแบบวิธีเก็บข้อมูล วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ไว้ล่วงหน้า โดยผู้เชี่ยวชาญในการตีพิมพ์ผลงานวิจัยประเภทนี้คือ ท่านคณบดีคณะเทคนิคการแพทย์ ศ. ดร. วีระพงศ์ ปรัชชญาสิทธิกุล
นี่คือโอกาสทำพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคม จากจุดเริ่มต้นที่การเรียนการสอน
กล่องหมี่กรอบ ออกแบบโดยนักศึกษา
วิจารณ์ พานิช
๒๐ ก.พ. ๕๘
ผมได้ศัพท์ใหม่ครับ...พงศาวลี (family tree) ....ขอบพระคุณครับ