การบำบัดฟื้นฟูทางจิตสังคมเด็กและวัยรุ่น


เด็กสมัยปัจจุบันไม่เหมือนสมัยก่อนในแต่ละยุคสมัยก็มีปัญหาที่ต่างกันออกไป ในยุคปัจจุบันเด็กมีปัญหาหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการศึกษา พฤติกรรม ความคิดซึ่งทำให้เกิดผลกระทบหลายด้านหากไม่เร่งรีบแก้ไขเช่นด้านการศึกษา มีกฏหมายออกมาว่าเด็กต้องเรียนพื้นฐานให้ครบตามที่กฎหมายกำหนดคือมัธยมศึกษา ชั้นปีที่ 3 แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กเหล่านั้นไม่สามารถเข้าไปในสังคมโรงเรียนได้ ไม่สามารถเรียนร่วมกับผู้อื่นได้จากปัญหาต่างๆของเด็ก เราจะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่าเด็กพิเศษ จะมีการร่วมมือระหว่างผู้ปกครอง โรงเรียน และคุณครูเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยให้เด็กได้เรียนรู้และจบการศึกษา โดยอาจจะให้เด็กเรียนที่บ้าน และมารับการบ้านจากวิชาต่างๆโดยให้ผู้ปกครองสอน หรืออาจจะมาเข้าเรียนบางวิชาโดยไม่นับเวลาเรียน หรือมาสอบปลายภาคเพื่อวัดผล โดยเด็กพิเศษไม่ได้แปลว่าผิดปกติเสมอไป เพราะเด็กพิเศษอาจจะเป็นนักร้องดาราที่ไม่มีเวลาเรียน หรือเป็นเด็กที่มีความสามารถทางด้านกีฬาโดดเด่น หรือเด็กที่มีปัญหาทางพัฒนาการ พฤติกรรมและอารมณ์ ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งให้ผู้ปกครองช่วยส่งเสริมเด็กให้มีพัฒนาการสมวัยมากที่สุดจาการเรียนนอกห้องเรียน

นอกจากปัญหาการศึกษาแล้วยังมีปัญหาการติดโรคในวัยรุ่น ซึ่งปัจจุบันเด็กขาดความรู้และกลัวที่จะเข้ามาปรึกษาผู้ใหญ่เพราะไม่อยากแปลกแยกจากเพื่อน หรือไม่อยากให้เพื่อนรู้ เพราะสังคมวัยรุ่นจะเห็นเพื่อนสำคัญ และต้องการการยอมรับ ทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม จึงมีการเปลี่ยนระบบการให้คำปรึกษา จากเปิดเผยเป็นแบบส่วนตัวแทน เพื่อเปิดโอกาศให้เด็กได้เข้ามาปรึกษาปัญหาต่างๆเช่น ความเครียด การเรียน เรื่องปรับตัวเข้าหาเพื่อน การมีเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้องและปลอดภัย โดยการให้คำปรึกษาก็มีการสร้างสัมพันธ์ภาพเพื่อให้เด็กไว้ใจ ต้องให้เกียรติเด็กเสมอ และผู้บำบัดต้องไม่นำข้อมูลที่เด็กให้ไปบอกคนอื่นถ้าเด็กไม่ต้องการ แต่ในกรณีที่ร้ายแรงอาจจะต้องแจ้งหมอหรือผู้ปกครองเพื่อช่วยระวังและป้องกัน นอกจากอาจจะสอนทักษาะต่างๆเช่นการปฎิเสธ การเข้าหาเพื่อน

โรคจิตเวชส่วนใหญ่ที่วัยรุ่นเป็นกันคือโรคซึมเศร้า เพราะการเลี้ยงดูสภาพแวดล้อมต่างๆรวมถึงโรคที่ถ่ายทอดมาทางกรรมพันธ์เช่น สมาธิสั้น Bipolar LD(เด็กที่บกพร่องด้านการเรียน) MDD(ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า) ซึ่งจะแสดงอาการออกมาด้วยพฤติกรรมและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป อาจมีการแยกตัวจากสังคม ก้าวร้าวรุนแรง โดยอาจารย์ก็ได้ยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังเช่นน้องคนหนึ่งมีภาวะเป็นสมาธิสั้น มีปัญหาด้านการเรียน และปัญญาอ่อน น้องมีอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง พูดคำหยาบใส่ครูและเพื่อนๆทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทำร้ายเพื่อน น้องไม่สามารถควบคุมอารามณ์ตัวเองได้และมีปัญหาการแสดงออก มีการปรึกษาการือกันระหว่างผู้ปกครองและทางโรงเรียน น้องจึงได้เรียนแบบ Home school เพื่อไม่ให้น้องแสดงความก้าวร้าวใส่คุณครูและเพื่อนนักเรียน โดยน้องไปรับการบ้านจากคุณครูทุกสัปดาห์มาทำที่บ้านและมีการสอนเฉพาะจากครูการศึกษาพิเศษรวมถึงมีการรักษากับนักกิจกรรมบำบัด น้องจึงสามารถเรียนได้จบ

ส่วนอีกตัวอย่างที่อาจารย์เล่ามาคือน้องเป็นbipolar และ PDD-Nos ตั้งแต่ 3 ขวบ เนื่องจากทางสาตระกูลของแม่น้องเป็น bipolar ทั้งหมด น้องมีอาการก้าวร้าวทำร้ายผู้อื่น ขวางปาสิ่งของ มีปัญหาการสื่อสารกับเพื่อน มีปัญหาพฤติกรรมคือชอบโกหก มีปัญหาการเรียนรู้ร่วมด้วย น้องต้องย้ายโรงเรียนบ่อยครั้งเพราะครูไม่เข้าใจพฤติกรรม จนกระทั่งน้องได้ย้านเข้าโรงเรียนรัฐบาลใกล้ๆบ้านเจอครูที่เข้าใจและร่วมกับการรักษาและให้คำแนะนำของนักกิจกรรมบำบัดจึงทำให้น้องควบคุมตัวเองได้มากขึ้น

นอกจากนี้อาจารย์ยังได้เตือนนักศึกษาว่าอย่ามีความยึดมั่นถือมั่น เช่นรักษากับเราคนเดียวเพราะจะเป็นการทำร้ายเด็กทางอ้อม การที่เด็กได้รับการกระตุ้นหลายๆทางอาจจะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีอาการที่ดีขึ้นได้

ปล.ขอบคุณพี่เมย์นะคะที่ช่วยเรียบเรียงหัวข้อ

หมายเลขบันทึก: 584736เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2015 22:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 มกราคม 2015 23:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท