เมื่อช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตผ่านไป ชีวิตนั้นไซร้ช่าง "ว้าเหว่..."
คนเราเมื่อได้อยู่กับคนมากหน้าหลายตา มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ ชีวิตนั้นช่างดู "สดใส"
เพื่อน มิตร สหาย กลายมาเป็นพี่ เป็นน้อง ผูกสมัครรักใคร่ด้วยหน้าที่ ด้วยความดีที่เราได้กระทำร่วมกัน
ความรู้สึกดี ๆ ที่เราได้เสียสละ มาร่วมหัวจมท้าย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ถึงแม้จะอดจะอยาก ไม่ได้อยู่ดีกินดีเหมือนกับอยู่ในบ้าน แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันนั้นมันช่างมีค่าเหลือคณา
"รอยยิ้มที่เรามีให้กัน เป็น "พลัง" ที่ชุบจิตใจที่เหงาหงอยให้ชุ่มชื่น เสียงหัวเราะของพี่น้องและเพื่อนฝูงดูกลมกลืน กับธรรมชาติของจิตใจ..."
เมื่อก่อนไม่รู้นะ ว่าใครมาจากไหน ใครเคยทำอะไร แต่วันหนึ่งที่เราได้มาอยู่ด้วยกัน ชีวิตของเรานั้นผูกพันกัน แต่วันหนึ่งที่เราต้องจากกัน สายสัมพันธ์แห่งจิตดูเหมือนจะลิดดรอนความสุขของชีวิตให้เหือดแห้งไป
ชีวิตช่างว้าเหว่ หัวใจช่างร่อนเร่ไร้จุดหมาย ความสุขครั้งก่อนพลันเสื่อมคลาย มอดมลายดับสูญอาดูรพลัน
ชีวิตช่างเหงาหงอย เศร้าสร้อยเงียบเหงาอย่างแสนเศร้า โอ้หนอชีวิตจิตใจของคนเรา ช่างโศกเศร้ากับอารมณ์ระทมใจ
ชีวิตหนอ ชีวิต... ช่างลิขิตขีดเขียนเปลี่ยนหนักหนา โอ้หนอชีวิตที่ยึดติดกับกาลเวลา ช่างไร้ค่าเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป
ไฉนหนอชีวิตจึงหลุดพ้น จากวังวนแห่งอารมณ์ที่หมองเศร้า ไฉนหนอชีวิตนี้จักบรรเทา ความซึมเศร้าในหัวอกรันทดใจ
หัวใจฉันเหมือนจะขาดในครานี้ ด้วยไมตรีขาดหายจากใจฉัน หัวใจนี้อ่อนล้าลงทุกวัน หัวใจฉันเหมือนจะทรุดหยุดตัวลง
ลมหายใจแผ่วแผ่วรันทดหนอ จิตใจทุกข์ทดท้อฝ่อแฟ่บพลัน หัวใจฉันช่างเล่นเล่ห์เพทุบาย...
ตามดูจิต ว่าทำไมคิดฟุ้งซ่าน พออ่านผ่านๆ จึงรู้ว่ารู้สึกว้าเหว่ ที่อยู่คนเดียวนี่เอง