บริษัท เอบีเค จำกัด : สิทธิของนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ
ซึ่งมีองค์ประกอบต่างด้าวเข้มข้นที่จะร้องขอต่อศาลไทยเพื่อสั่งให้ลูกหนี้ล้มละลาย,
โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
ข้อสอบปลายภาคในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ ภาค ๒,
เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓, ปรับปรุงล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๖
http://www.l3nr.org/posts/541922
-------------
ข้อเท็จจริง
------------
บริษัทส้มฝาง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการทำสวนส้มเพื่อการส่งออก โดยมีสวนส้มตั้งอยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ถูกบริษัท เอบีเค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทค้าปุ๋ยตามกฎหมายจีนร้องขอให้ศาลไทยสั่งให้บริษัทส้มฝางฯ ล้มละลาย อันเนื่องมาจากหนี้สินจากสัญญาซื้อขายที่มีต่อกันในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ในขณะที่ถูกฟ้องคดี บริษัทส้มฝาง จำกัด เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยมีสมาชิกทุกคนเป็นคนสัญชาติไทย บริษัทนี้มีสาขาตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ส่วนบริษัท เอบีเค จำกัด เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายจีน โดยสมาชิกข้างมากที่ครอบงำบริษัทที่มีสัญชาติจีน โดยมีสำนักงานตั้งตราจัดตั้งและสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน
--------
คำถาม
--------
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ถามว่า ศาลไทยจะรับคำร้องของบริษัท เอบีเค จำกัดเพื่อสั่งให้ บริษัทส้มฝาง จำกัด ล้มละลายได้หรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? [1]
--------
คำตอบ
--------
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เมื่อมีการร้องขอนำคดีเข้าสู่ศาลไทย กฎหมายวิธีพิจารณาความที่ศาลจะต้องใช้ก็คือ กฎหมายวิธีพิจารณาความของประเทศไทย ทั้งนี้ เพราะนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายมหาชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศย่อมตกอยู่ภายใต้กฎหมายมหาชนภายในของรัฐคู่กรณี ทั้งนี้ เว้นแต่จะกำหนดเป็นอย่างอื่น
จะเห็นว่า กฎหมายวิธีพิจารณาความของไทยในเรื่องเขตอำนาจศาลไทยเหนือล้มละลาย ก็คือ มาตรา ๑๕๐ แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ ซึ่งบัญญัติ “การยื่นคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย ให้ยื่นต่อศาลซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นฟ้องหรือคำร้องขอหรือภายในกำหนดเวลา ๑ ปีก่อนนั้น”
โดยพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าว จึงสรุปได้ว่า ศาลไทยจะมีเขตอำนาจที่จะรับพิจารณาคำฟ้องหรือคำร้องขอให้ล้มละลาย หากลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขต ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นฟ้องหรือคำร้องขอหรือภายในกำหนดเวลา ๑ ปีก่อนนั้น
ดังนั้น จึงสรุปประเด็นได้ต่อไปว่า ศาลไทยจะรับคำร้องของบริษัท เอบีเค จำกัด ก็ต่อเมื่อบริษัท ส้มฝาง จำกัด “มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตหรือประกอบธุรกิจอยู่ในเขตไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่ยื่นฟ้องหรือคำร้องขอหรือภายในกำหนดเวลา ๑ ปีก่อนนั้น” คำถามในชั้นนี้ ก็คือ บริษัท ส้มฝางฯ มีภูมิลำเนาหรือประกอบธุรกิจอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ ?
เราจะต้องไม่ลืมว่า นิติบุคคลจะมีภูมิลำเนาไทยได้นั้น อย่างน้อยโดยข้อเท็จจริง ก็คือ จะต้องมีข้อเท็จจริงตามที่มาตรา ๖๘ - ๖๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนด กล่าวคือ (๑) นิติบุคคลย่อมมีภูมิลำเนา ณ สำนักงานแห่งใหญ่ที่แท้จริง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิด "การขัดกันของภูมิลำเนาของนิติบุคคล" หรือไม่ (๒) นิติบุคคลย่อมมีภูมิลำเนา ณ ที่ตั้งที่ทำการของนิติบุคคลได้ด้วยสำหรับกิจการที่ได้กระทำลง ณ ที่ทำการนั้นๆ อีกด้วย และ (๓) นิติบุคคลย่อมมีภูมิลำเนา ณ ถิ่นที่ได้เลือกเอาเป็นภูมิลำเนาเฉพาะการตามข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง สำหรับกิจการที่ได้กระทำลง ณ ที่ทำการนั้นๆ อีกด้วย
โดยสรุป เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทส้มฝาง จำกัดมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทย จึงชี้ได้ว่า บริษัทนี้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย โดยหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความไทย ศาลไทยจะรับคำร้องของบริษัท เอบีเค จำกัดเพื่อมีคำสั่งว่า บริษัท ส้มฝาง จำกัด เป็นบุคคลล้มละลาย
[1] ข้อสอบปลายภาคในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ ภาค ๒
ไม่มีความเห็น