๒๙/๐๘/๒๕๕๗
***************
สร้างหลักประกันของชีวิต
ตอนสายของวันนี้มีอาเอินซึ่งเป็นภรรยาของ ลุงหนานวัน ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาหน้าบ้านพร้อมกับส่งเสียงดังนำมาว่า
“หนาน!...ป้าจะมาขอฮับเงินสมาคมฯจะฮยะจ๊ะใดผ่อง?”
ผมถามต่อว่า “ใผ เป๋นอะหยัง ตังใดตี่ไหนเลาะ?”
เธอตอบว่า “กะตะคืนเนี่ยก่ะ...ประมาณตี๋สี่ ปู่หน้อยดีน้องหนานวันเปิ่นต๋ายย่ะ...หมู่เขาไปฮย่ำกั๋น เมื่อตะคืนวันวาปุ้นแล้ว”
ผมรับและถามต่อว่า “อื่อ...แล้วใผเป๋นคนเก๊บเงินสมาคมของเขาล่ะ...บอกหื้อคนเก็บเงินมาหาผมโตยเน่อ...ถ้าเบาะอั้นเกาะเอาเอกสารใบสำคัญก๋ารมอบเงินของสมาคมมากะได้”
เธอบอกว่า “ใบสำคัญนั่นมันเบาะอยู่ในบ้านฮย่าแปลก(แม่คนตาย)ฮั้นก่ะ...บะเด่วเขาอยู่กุ๋งเทพโตยลูกเขาปุ้นหนา”
ผมบอก “อั้นกะบอกหื้อคนเก๊บเงินมาหาผมกะได้...หื้อเขามายืนยันว่า ได้เก่บของปู่น่อยดีแต้...มีเส้นอยู่จริ๋ง”
เธอรีบไปส่งหลานที่ศูนย์เด็กเล็กฯ สักพักก็พาป้าทวนคนเก็บเงินของคุ้มมายืนยัน นำบัญชีเล่มเล็กที่เคยจ่ายเงินสงเคราะห์ศพมาให้ดู คุยอะไรกันอีกมากมาย ผมก็เรียกให้ทั้งสองมาช่วยกันดูผมนับเงิน ยอดที่ได้ในครั้งนี้ ๕๘,๘๐๖ บาท ซึ่งก็เป็นจำนวนเงินมิใช่น้อยเหมือนกัน สมาคมเรียกเก็บสมาชิกคนละ ๒๐ บาทต่อหนึ่งศพ เก็บมาไว้ล่วงหน้า ๒ ศพ คนละ ๔๐ บาท สมาชิกมีขึ้นลงตลอดไม่นิ่ง ขณะนี้มีสมาชิกรวมกัน ๓ หมู่บ้าน ณ ศพที่ได้รับเงินในขณะนี้ ๓,๒๖๗ คน ยอดเงินสงเคราะห์ศพของสมาชิกที่เก็บได้รวมกันประมาณ ๑๑๗,๖๐๐ บาท คงเหลือที่เป็นเงินสงเคราะห์ศพอีก ห้าหมื่นกว่าหรือกึ่งหนึ่งของเงินที่เก็บล่วงหน้า...
ต่อไปก็จะต้องมีการจัดเก็บเพิ่มอีกคนละ ๒๐ บาท เพื่อนำมาพักไว้ที่สมาคมเผื่อมีการตายพร้อมกันสองศพ ก็จะได้มีเงินจ่ายให้ได้ทันท่วงทีนั่นเอง...
หน้าที่ผู้เก็บรักษาและจ่ายเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯในวันนี้ ผ่านพ้นไปด้วยดี ในเย็นนี้คงมีการแจ้งให้หัวหน้าคุ้มที่มีหน้าที่เก็บเงินได้ทำหน้าที่กันต่อไป พร้อมกับการเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ในวันพรุ่งนี้(ทำงานกันเดือนละครั้งเท่านั้นเอง)...
เป็นการดีเหมือนกันที่พวกเราไม่ต้องลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยในการจัดงานศพที่หมู่บ้าน เพราะครั้งนี้สมาชิกได้เสียชีวิตที่กรุงเทพและญาติ ๆ ตกลงกันว่าจะทำการฌาปนกิจที่นั่นเพื่อความสะดวก อีกอย่างคนเสียชีวิต ก็ไม่มีบ้านอยู่ในหมู่บ้านนี้แล้ว เพราะย้ายไปอยู่ที่นั่นเสียนาน...การจ่ายเงินมอบให้เป็นภาระของแม่ที่ต้องจ่ายแทนให้
ผมเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า คนเราจะได้ดิบได้ดีมีตำแหน่งใหญ่โตขนาดไหน สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความเป็นพี่เป็นน้อง ความเป็นญาติ ที่ต้องไปให้ความช่วยเหลือดูแลจัดการศพ...งานนี้ก็เช่นกัน
จึงอยากฝากหลายท่านที่ทำงานอยู่หรือกำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ให้คิดคำนึงกันด้วยว่า...ชีวิตมีความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตาย แน่นอน ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นได้...อย่าประมาทกัน
หลายท่านคงเคยได้ดูโฆษณาของบริษัทหนึ่งที่ย้อนอดีตคุณหมอผู้รักษาพยาบาลให้ผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่โดยมีลูกสาวฟุบอยู่ข้าง ๆ เตียงและพอตื่นขึ้นมาก็เห็นเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ โดยมีข้อความระบุว่า...
ใบสรุปค่ารักษาพยาบาล
ผู้ป่วยชื่อ คุณฮุ่ยเซ็ง แซ่เคียม
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่าห้อง 0 บาท
ค่ายา 0 บาท
รวมทั้งหมด 0 บาท
***เพราะค่าใช้จ่ายทั้งหมดผมได้รับแล้วเมื่อ ๓๐ ปีก่อน ด้วยยาแก้ปวด ๓ แผง ยาธาตุ ๑ ขวด และ เกาเหลา ๑ ถุง
ด้วยความเคารพ
นายแพทย์ประจักษ์ อรุณทอง...
(คุณหมอคนดีที่กล่าวถึง)
หันกลับมามองชีวิตจริงของคนเรา...หากเราไม่เคยเป็นผู้ให้หรือไม่เคยเสียสละอะไรให้ใคร ช่วยเหลือใคร สนใจใครเลยล่ะ แม้หลักประกันอะไรต่าง ๆ ก็ไม่มีไม่ได้ทำไว้ล่ะ จะเป็นอย่างไร ตามสื่อที่โฆษณา หากย้อนกลับตามความเป็นจริงแล้ว “น้องหมวย” จะต้องหาเงินหรือมีเงินมาเพื่อจ่ายให้กับการรักษาพยาบาลของพ่อด้วยตนเองอย่างลำบาก(หากไม่โชคดีพบหมอที่เคยให้มาก่อน)ตามความเป็นจริง ดังข้อความที่ระบุก่อนหน้านั้นว่า...
ใบสรุปค่ารักษาพยาบาล
ค่าผ่าตัด ๕๖๔,๐๐๐ บาท (ห้าแสนหกหมื่นสี่พันบาท)
ค่าห้อง ๑๖๔,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นสี่พันบาท)
ค่ายา ๖๔,๐๐๐ บาท (หกหมื่นสี่พันบาท)
รวมทั้งหมด ๗๙๒,๐๐๐ บาท (เจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพันบาทถ้วน)
เงินจำนวน ๗๙๒,๐๐๐ บาท (เจ็ดแสนเก้าหมื่นสองพันบาท) ไม่ใช่น้อย ๆ ที่จะต้องหาให้ได้ภายในระยะเวลา ๑ อาทิตย์ “น้องหมวย” จะทำอย่างไร ในเมื่อไม่ได้ทำหลักประกันอะไรให้พ่อหรือแม้แต่ตนเองไว้บ้างเลย จำเป็นต้องขายบ้าน ขายร้าน มีอะไรก็อาจจะต้องขายให้หมด เพื่อหาเงินมารักษาพ่อของตนเอง...
*ภาพยนตร์โฆษณาที่กล่าวถึงตรงนี้ครับ http://youtu.be/7s22HX18wDY (ดูทีไรน้ำตาซึมทุกครั้งเลย)*
เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าได้ลืมทำหลักประกันชีวิตกันไว้บ้าง ผมไม่ได้ขายประกันนะครับ อย่าเข้าใจผิด แต่ที่กล่าวนี้เพื่อเน้นให้มองเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต การเตรียมความพร้อมให้กับชีวิต ดั่งคำโบราณที่กล่าวกันมานานแล้วว่า...เตรียมตัวก่อนตาย เตรียมกายก่อนแต่ง เตรียมน้ำก่อนแล้ง เตรียมแบ๊งค์ก่อนออกเดินทาง...ยังไงล่ะครับ
ลองถามตัวเราเองบ้างเวลาว่างเว้นจากภารกิจ เช่นว่า...
หากเราประสบอุบัติเหตุจากการเฉี่ยวชนจนถึงนอนโรงพยาบาล เราจะมีเงินค่ารักษาพยาบาลอยู่เท่าไหร่?
หากเราตกงานหรือไม่มีงานทำ เราสามารถอยู่รอดปลอดภัยจากการอดอยาก อยู่ได้ด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่?
หากสามีภรรยาหรือลูกของเรา เจ็บป่วยจนถึงต้องเข้าโรงพยาบาล เรามีเงินในส่วนที่จะต้องใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอยู่เท่าไหร่?
หากเราอายุ ๖๕ ปี ขึ้นไปทำงานไม่ไหว ณ เวลานั้น เราจะมีเงินเก็บหรือเงินใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงดู และดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอยู่เท่าไหร่?
หากใครคนใดคนหนึ่งในบ้านเกิดเสียชีวิตลง เรามีเงินในการจัดการงานศพอยู่มากน้อยเท่าใด?
คำถามที่ผมอยากให้ลองถามตนเองเบื้องต้นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่นี่คือความเป็นจริงที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถามทำไม? ถามเพื่อให้เราตระหนักรับรู้ ไม่ประมาท วางแผนเพื่อสร้างหลักประกันให้กับชีวิตทั้งของตนเองและของคนที่เรารัก ทั้งในปัจจุบันและเผื่ออนาคต...
อย่างน้อยการประกันอุบัติเหตุ การเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ ก็ยังถือได้ว่า เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของคนที่เรารักได้อย่างมากมายมหาศาล ในเมื่อเราเกิดพลาดพลั้ง หรือเป็นอะไรไปก่อนเวลาหรือวัยอันควร...
ทำกันไว้บ้างก็ดีนะครับ
ขอบคุณทุกท่านที่สนใจ ขอบคุณ GotoKnow
เวลานี้...รายได้ผู้น้อยในเมืองไทย..๑๕๐บาทต่อวัน..รัฐบาลที่แล้ว..ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น๓๐๐..ก็ยังตุกติกกัน..สำหรับลูกจ้างชั่วคราว..ก็จะไม่มีปัญญา..จ่ายประกันใดๆทั้งสิ้นอยู่แล้ว..ถ้าต้องเลี้ยงกันแค่สามปากท้อง..ข้าวถูกสุด..เกือบสามร้อย..ไข่..ใบละสามบาท..ก็เรียกว่าถูกนะ...ข้าวไข่เจียว..ก็ยี่สิบบาทเข้าไปแล้ว..เหมือน..กัน..ค่าเทอมลูก..และจิปาถะ...ยังต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่..เลี้ยงพี่เลี้ยงน้องหลานเหลน..
(เห็นในเฟท..เมื่อเร็วนี้..ตายปั๊ป..ฟืนกอง..โยนเผาเลย..ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น..มีฟืนเผาก็บุญแล้ว)...
พี่หนาน..คะ..มันคืออะไรกันเนี่ยะ..กับคำว่า..จน...และรวย...
I tell my family after I die I will not be bothered with anything. How much burden my family want to take is up to them. But they should remember that nothing can hurt me when I am dead. Only the living need to worry about tradition, society, 'face' (or social status). The dead see/hear/feel/think NO evil! ;-)
ขอขอบคุณอาจารย์ กัลยาณมิตรที่ให้กำลังใจทุกท่านมากครับผม...
แสดงความเห็นร่วมกับยายธีครับ... เห็นด้วยว่าทุกวันนี้ค่าแรงลูกจ้างชั่วคราวหรือพนักงานจ้างเหมา ถูกมาก แถวบ้านเดือนละ ๔ พัน ๕ พันเท่านั้นเองครับ...ทั้งๆ ที่รัฐบาลก็ประกาศมาตั้งนานแล้วว่า ๓๐๐ แล้วมัน ๓๐๐ ตรงไหนเนี่ย...ขั้นต่ำน่าจะอยู่ที่ ๙ พันบาทนะครับ...
หากเป็นดั่งที่ยายว่า ก็สะท้อนสภาพสังคมไทยเป็นอย่างมากเลยหละครับ...น่าจะมีการให้การช่วยเหลือและให้ความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสมกับกลุ่มชนเหล่านี้ด้วยนะครับผม...
รักษาสุขภาพนะครับ...คงสบายดี
ขอบคุณ อาจารย์ Sr.ที่ให้เกียรติเข้ามาเยี่ยมชมและร่วมแสดงความคิดเห็นมากนะครับ...
ความตายไม่ใช่สิ่งเลวร้ายหรอกครับ...เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพื่อให้เกิดการสมดุล หาไม่แล้วมนุษย์คงจะล้นโลกเป็นแน่...ในขณะเดียวกันหากยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องให้ความช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อกัน ไม่ทอดทิ้งกัน หลายๆ เรื่องดั่งที่อาจารย์กล่าวถึงนั่นแหละครับ...
ขอบคุณอีกครั้งครับผม