"แม่แท้ กับ แม่ธรรม"


                                                        

                                             

                  วันนี้เป็นแม่ ที่คนไทย แซ่ซ้อง สรรเสริญสรรพคุณของบุคคลที่เรียกว่า "แม่" แต่พอสิ้นวันแม่ผ่านไป คำว่า "แม่" ก็แปรไปเป็น "วันเมีย" หมายถึง ให้ความสำคัญกิจกรรมภรรยาของตนมากกว่ามารดาซะอีก อย่างนี้ เราปฏิบัติต่อแม่ด้วยจิตใจหรือความรักษ์ที่แท้จริงแค่ไหน เราถูกสอนมาว่า แม่คือ ผู้มีคุณต่อชีวิตของเรา จะเอาแผ่นฟ้ามาทำสมุด เอาน้ำในทะเลมาเป็นน้ำหมึก เอาภาษาในโลกมาเขียน ก็ไม่สามารถบรรยายสรรพคุณ ที่อบอุ่นอกนี้ได้ออย่างหมดจด 

                   พอถึงวันแม่มาถึง ทั้งรัฐ ทั้งศาสนา ทั้งประชาชน สื่อสารมวลชน สถาบัน ฯ ต่างก็กล่าวสรรเสริญบุญคุณของแม่ เช่น ทำสื่อเสนอ ร้อยดอกมะลิ ร้อยเรียงคำกลอน กราบไหว้ บูชาคุณแม่ เรียบเรียงบทความ ร้อยความรู้สึกของตนต่อแม่ด้วยภาษาที่แสนสวยและซาบซึ้งตรึงใจ คำต่างๆ เหล่านี้ มากล้นมหาศาลในเน็ต ในคอมพ์ ในสื่อ ฯ ทั้งเพลง ทั้งรูปภาพ สื่อสารวันแม่ เพื่อให้ผู้อ่านได้คล้อยตาม

                  แต่แท้จริงแล้ว แม่เป็นแม่ที่จริงแค่ไหน หรือลูกรักแม่อย่างจริงใจแค่ไหน สังคมปัจจุบันดูเหมือนกำลังสวนทางกับกระแสสังคม ความรัก ความจริงใจของทั้งสอง รักนี้ยังมีมนต์ขลังอยู่หรือไม่ ในสังคมแห่งวัตถุนิยม ที่ทันสมัย มีข่าวร้ายที่พ่อแม่ และลูกแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะที่จะเรียกว่า "แม่หรือลูก" เช่น แม่คลอดลูกทิ้งขยะ แม่ทิ้งลูก แม่ทำแท้ง แม่ทำร้ายลูก แม่ขายลูก แม่ตีลูก แม่ฆ่าลูก ฯ

                   ในทำนองเดียวกัน ก็มีข่าวมากมายที่ลูกฆ่าแม่ ลูกตีแม่ ลูกทำร้ายแม่ ลูกปล่อยแม่ ลูกทิ้งแม่ ฯ มองภาพรวมแล้ว เหมือนมนุษย์กำลังตอบโต้เรื่องการจองเวรต่อกรรมและกันไปมา ระหว่างแม่และลูก เมื่อจุติไปเป็นลูกกัน เป็นแม่กัน หรือว่ากรณีเหล่านี้ เกิดมาจากศาสนาที่ปล่อยปละละเลย ในการทำหน้าที่อบรมสั่งสอนเยาวชน คนในสังคมให้อยู่ในศีลธรรมที่ดีงาม หรือว่าสังคมถูกกระแสค่านิยม วันถุนิยม การเปลี่ยนแปลงในสังคมที่หลากหลาย ทำให้จิตใจของผู้คนในสังคมแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

                 มีตัวอย่างมากมาย ที่สื่อรายงานปรากฏการณ์เหล่านี้ ให้เรารับรู้ แต่ถึงกระนั้น มีมากน้อยแค่ไหนที่เราตระหนักอย่างหนักแน่น ในดวงจิต คิดถึงบุพการีของตนอย่างแท้จริง หรือแม่มีมโนธรรมแค่ไหนที่ใจจืด ใจดำทิ้งลูกตัวเองได้ แม่กับลูก จึงเหมือนกำลังจองเวร จองกรรมกัน เช่น


"แม่ทิ้งลูก"

๑)  "ชายหนุ่มหญิงสาวพร้อมใจกันทิ้งลูก"

                   เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 11 ส.ค. ร.ต.ท.สุทธิ อุดร พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระแก้ว อ.เมือง จ.สระแก้ว รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบเด็กทารก ถูกนำมาทิ้งที่บริเวณหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จ.สระแก้ว ที่เกิดเหตุพบเด็กทารก เพศชาย อายุไม่ถึง 24 ชั่วโมง อยู่ในถังขยะเหล็กทรงกลม นอนขดตัวท่ามกลางขยะที่ถูกทิ้งอยู่ในถัง ส่งเสียงร้องตลอดเวลา จึงรีบอุ้มเด็กขึ้นมาจากถังขยะพร้อมห่มด้วยผ้าขนหนู

                  จากการสอบถามแม่บ้านของโรงแรมดังกล่าวทราบว่า เมื่อวานนี้มีชายหญิงมาเช่าห้องพักแบบชั่วคราว และเข้าพักตามปกติ กระทั่งตอนดึกได้ยินเสียงเหมือนเสียงเด็กร้อง แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรนึกว่าเป็นเสียงร้องของแมว จนถึงเช้าเสียงร้องดังกล่าวก็ยังดังไม่หยุด จึงได้เดินไปดูและพบเด็กทารกถูกทิ้งอยู่ในถังขยะดังกล่าว

                 เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้หน่วยกู้ภัยสว่างสระแก้ว นำเด็กส่งรพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว เพื่อให้แพทย์ตรวจร่างกาย ซึ่งแพทย์ตรวจแล้วพบว่าทารกน้อยรายนี้ มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี อาการครบ 32 น้ำหนัก 1,069 กรัม

                 อย่างไรก็ตามแพทย์ได้นำเข้าตู้อบไว้ก่อน เนื่องจากน้ำหนักน้อย พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามหาแม่ของเด็ก มาสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป  (http://www.thairath.co.th/content/442610)


๒) "สลด! แม่ทำแท้งทารกอายุครรภ์ 4 เดือน"

                    ก่อนใช้ชุดนักศึกษามหา'ลัยดัง ห่อศพลูกในไส้ทิ้งถังขยะริมคลองผดุงกรุงเกษม ตร.คาด ฝีมือวัยรุ่นใจแตกไม่พร้อมเป็นแม่คน เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 28 มิ.ย.57 ร.ต.ท.ประสาน คำเหลือ พนักงานสอบสวน สน.สามเสน รับแจ้ง พบศพทารก ถูกนำมาทิ้งไว้ บริเวณถนนลูกหลวง ริมคลองผดุงกรุงเกษม หลังสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย

                   ที่เกิดเหตุพบ เศษผ้าหล่นกระจายอยู่ข้างตะกร้าสีฟ้า ทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ ริมฟุตปาทถนนลูกหลวง ตรวจสอบภายในห่อผ้า พบศพทารก เพศชาย อายุครรภ์ประมาณ 4 เดือน จากการสอบถาม ผู้พบศพให้การว่า สุนัขของตนไปคุ้ยขยะและคาบห่อบางอย่างมา เมื่อเปิดออกดูพบเป็นศพทารก จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบ

                 ด้าน ร.ต.ท.ประสาน เปิดเผยว่า ห่อผ้าชิ้นนี้มีผู้พบเห็นตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา แต่เพิ่งมาแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อรู้ว่าเป็นศพทารก โดยเศษผ้าที่ห่อทารกไว้เป็นเสื้อยืดคอปกมีตัวหนังสือระบุมหาวิทยาลัยดัง คาดว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่พร้อม จึงไปทำแท้งเอาเด็กออก ก่อนนำผ้ามาห่อไว้และใส่ตะกร้านำมาทิ้งทำลายหลักฐาน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้มอบร่างทารกให้นิติเวชวชิรพยาบาลชันสูตร ก่อนจะสืบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป (http://www.thairath.co.th/content/432754)


๓) "แม่ใจร้าย รีดลูกทิ้งกองขยะ"

                   หลังตลาดธานินทร์ จ.เชียงใหม่ คาดท้องไม่พึงประสงค์ ก่อนวัยอันควร เมื่อ เวลา 17.00 น. วันที่ 6 มิ.ย.57 ร.ต.อ.ชัยยะ จันเต็บ พงส.สภ.ช้างเผือก อ.เมือง เชียงใหม่ ได้รับแจ้งว่า มีชาวบ้านพบศพเด็กทารก ถูกนำมาทิ้งไว้ในถังขยะหลังตลาดธานินทร์ ถ.โชตนา ต.ช้างเผือก จึงพร้อมกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิรวมใจเชียงใหม่ รุดไปสอบสวน

                    ที่กองขยะพบศพเด็กทารกเพศชายแรกคลอด ถูกห่อด้วยผ้าอ้อมสีขาวลายการ์ตูน มีสายสะดือติดอยู่ คาดว่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ชม. จาก การสอบสวนทราบว่า ก่อนหน้านั้นมีคนคุ้ยขยะ มาพบซากทารกดังกล่าว จึงไปแจ้งชาวบ้านที่มาจ่ายตลาดแจ้งตำรวจ 

                     เบื้องต้นตำรวจคาดว่า ซากเด็กทารกจะเป็นลูกของหญิงวัยรุ่นที่ท้องไม่พึงประสงค์ก่อนวัยอันควร จากนั้นได้ไปทำแท้งและนำศพทารกมาทิ้งบริเวณดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ประสานขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดรอบๆ ที่เกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการติดตามแม่ของเด็กมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  (http://www.thairath.co.th/content/427795)


๔) "สลด! พบทารกชาย อายุ 5-6 เดือน ถูกทิ้งกลางถนน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี"

                  เมื่อวันที่ 23 พ.ค.57 พ.ต.อ.สุทธิศักดิ์ วันที ผกก.สภ.หนองปรือ รับแจ้ง พบเด็กแรกเกิดถูกนำมาวางทิ้งไว้กลางถนน บริเวณเส้นทางรอดใต้ อุโมงค์ต่างระดับโป่ง ถนนสาย 7 ตอน 5 หลังรับแจ้งจึงนำกำลังกู้ภัยมูลนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา จ.ชลบุรี

                   ที่เกิดเหตุ พบทารกเพศชาย อายุประมาณ 5-6 เดือน สภาพไม่มีบาดแผลตามร่างกาย มีสายสิญจน์คล้องที่ข้อมือข้างซ้าย ถูกวางทิ้งกลางถนน ใกล้กันพบผ้าขนหนูสีฟ้า 1 ผืน เจ้าหน้าที่จึงรีบนำเด็กกลับมายัง สภ.หนองปรือ เพื่อตรวจสอบและลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำตัวส่ง รพ.บางละมุง เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจร่างกายและดูแลต่อไป

                   สอบถามนายอนุวัตน์ หนองใหญ่ อายุ 16 ปี ผู้พบเด็ก ให้การว่า ขณะที่ขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านกับเพื่อนมาตามเส้นทางดังกล่าว ถึงจุดเกิดเหตุ สังเกตเห็นว่าที่กลางถนนมีอะไรบางอย่างวางอยู่และขยับได้ จึงวนรถกลับมาดูพบว่าเป็นเด็กถูกวางไว้กลางถนน ซึ่งเส้นทางดังกล่าวนั้น ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว โชคดีที่ไม่มีรถวิ่งมาเร็วไม่เช่นนั้นรถอาจเหยียบทับร่างเด็กจนเสียชีวิตได้

                  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่คาดว่า อาจเป็นฝีมือพ่อแม่วัยรุ่นที่คลอดออกมาแล้วไม่มีปัญญาเลี้ยงดู จึงนำเด็กมาวางทิ้งไว้บนถนนเพื่อให้รถเหยียบทับจนเสียชีวิต ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะติดตามตัวพ่อแม่ใจยักษ์มาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนเด็กได้ส่งให้แพทย์ รพ.บางละมุง ดูแลในเบื้องต้นก่อนประสานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับไปดูแลอีกครั้ง  (http://www.thairath.co.th/content/424952)


๕) " รวบแม่โจ๋คลอดลูกตายทิ้งป่าละเมาะ"

                 เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2555 ร.ต.อ.ไพฑูรย์ อุ้ยประโค ร้อยเวร สภ.เมืองอุดรธานี รับแจ้งจากศุนย์วิทยุร่มโพธิ์ทอง ว่ามีชาวบ้าน หมู่ 1 บ้านหนองนาคำ ต.หนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี พบศพเด็กทารกเพศชายแรกเกิด ห่อด้วยผ้าขาวอยู่ในถุงพลาสติกสีดำ วางอยู่บนถนนกลางซอยศูนย์เด็กเล็ก ต.หนองนาคำ จึงรุดออกไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.ต.ภูตะวัน มูลเมือง สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี ตำรวจสืบสวนชุดพิรุณ แพทย์เวรโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี และมูลนิธิสว่างเมธาธรรมสถาน

                 พ.ต.ต.ภูตะวัน มูลเมือง สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น คาดว่าแม่ใจยักษ์รายนี้เป็นเด็กวัยรุ่นอยู่ในภายหมู่บ้าน ที่รักสนุกแต่ขาดความรับผิดชอบ เมื่อตั้งท้องกับแฟนหนุ่มแล้ว ฝ่ายชายผู้เป็นพ่อกลับไม่รับผิดชอบ หรือปัญหาอื่นที่ตกลงกันไม่ได้ จึงตัดสินใจคิดสั้นแก้ปัญหาด้วยการนำทารกที่เพิ่งคลอดออกมาตามธรรมชาติใส่ ถุงมาทิ้งประชดแฟนหนุ่ม

                   ต่อมาเวลา เมื่อเวลา 15.30 น. วันนี้ พ.ต.ต.ภูตะวัน มูลเมือง สว.สส.สภ.เมืองอุดรธานี นำกำลังตำรวจสืบสวนชุดพิรุณ สืบสวนหาเบาะแสของแม่ใจยักษ์ จนสามารถจับกุมตัวได้ ทราบชื่อ น.ส.ปลา (นามสมมติ) อายุ 21 ปี ซึ่งมาอาศัยอยู่ที่บ้านของเพื่อนใกล้จุดเกิดเหตุ จึงนำตัวไปเย็บแผลฉีกขาดและติดเชื้อบริเวณช่องคลอด ที่โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี และรอผลตรวจดีเอ็นเอจากแพทย์อีกครั้งหนึ่ (http://www.thairath.co.th/content/314963)


"ลูกทิ้งแม่"


๑) "ลูกทิ้งแม่ให้โหยหิว"

                    รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุการณ์สุดสลดครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณ ริมถนนอุทยาน ย่านพุทธมณฑลสาย 4 หลัง ด.ต.ปัญญา วงษ์มาดิษฐ์ สายตรวจ สน.ธรรมศาลา ได้รับแจ้งว่าพบหญิงชรานั่งหิวโซอยู่ริมถนน คล้ายกับคนพลัดหลงมา ซึ่งจากการเข้าตรวจสอบก็พบกับหญิงชราคนดังกล่าวจริง ทราบชื่อ คือ นางนางบู่ ภู่ประสาท อายุ 86 ปี

                   จากการสอบถาม นางบู่ ที่มีอาการหลงๆ ลืม ให้การวกไปวนมาจับใจความได้ว่า ตนนั่งรถยนต์มากับลูกสาว จากนั้นลูกสาวได้สั่งให้ตนลงจากรถที่จุดดังกล่าว พร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวมีลูกชายอีกคนมารับ ก่อนที่จะขับรถจากไป

                   ซึ่งจากการตรวจค้นภายในตัวของนางบู่ ก็พบพบบัตรประกันสุขภาพของร.พ.สามพราน จ.นครปฐม ระบุชื่อนางบู่และเงินติดตัวอีก 320 บาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังดังกล่าวแล้ว เพื่อตรวจสอบดูว่ามีใครเป็นญาติและจะได้ประสานให้มารับตัวกลับไป แต่หากไม่มีญาติ ทางโรงพักก็จะประสานไปยังกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เพื่อให้มารับตัวไปดูแลต่อไป  (http://news.mthai.com/general-news/90921.html)


๒)  "หญิงชราวัย 89 ถูกลูกนำมาทิ้งข้างถนนอยุธยา"

                   นางอ้อย ธาราชัย อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 91/11 ต.เสนา อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา แม่ค้าในตลาดนัดแยกวัดพระญาติ ติดถนนโรจนะ ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องตกใจ หลังมาเปิดร้านค้าข้าวแกงและร้านอาหารตามสั่ง เพราะมีหญิงชรานอนอยู่ริมถนนหน้าร้าน โดยมีถุงพลาสติกใส่เสื้อผ้า 2 ถุง ตะกร้าถุงยา 1 ถุง และพัดลมเก่าๆ 1 เครื่อง

                    นางอ้อย เล่าว่า สอบถามหญิงชราคนดังกล่าว ทราบชื่อคือ นางบุญเรือน พันธุ์คำ อายุ 89 ปี และเล่าให้ฟังว่า เมื่อกลางดึกคืนที่ผ่านมา ลูกชายพาขึ้นรถนำมาทิ้งไว้ตรงนี้ บอกเพียงว่าตอนเช้าจะมีลูกอีกคนมารับไปอยู่บ้านใกล้กับวัดศรีประชา อ.วังน้อย เท่านั้น ซึ่งนอนตากยุงตากลมหนาวตลอดทั้งคืน ตอนนี้หิวข้าวมาก ตนจึงนำข้าวมาให้กิน และเอายาแก้คันมาทาเพราะมีตุ่มยุงกัด รวมทั้งนำผ้าห่มมาให้ ก่อนติดต่อประสานไปยังกลุ่มผู้สื่อข่าวและตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา ให้มาช่วยเหลือ

                   จากการขออนุญาตตรวจสอบสิ่งของใน ถุงยาระบุว่า ชื่อนางบุญเรือน พันธ์ุคำ เข้ารับบริการรักษาที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร หลังป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร เมื่อตรวจสอบกลับไปยังศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า พบว่าในทะเบียนคนไข้ระบุว่า นางบุญเรือน พันธ์ุคำ อยู่บ้านเลขที่ 144/434 โซน 3 หมู่บ้านเคหะร่วมเกล้า โซน 4 แขวงคลองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. 

                   อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยทราบว่า หญิงชราน่าสงสารรายนี้ ถึงจะมีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนชราวัยเดียวกัน แต่ก็มีปัญหาเรื่องความจำ เพราะน่าจะหลงลืมตามอายุไข เนื่องจากจำประวัติและรายละเอียดของตนเองได้ไม่ชัดเจน และจำรายละเอียดได้น้อยมาก

                   นางบุญเรือน เล่าให้ฟังแบบคนชราพอจะจำได้ว่า เดิมเป็นชาว จ.สุพรรณบุรี มีลูกทั้งหมด 4 คน เป็นชาย 2 หญิง 2 คน ก่อนหน้านี้อยู่กับลูกคนหนึ่งที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่น้ำท่วมหนักเลยหนีน้ำท่วมไปที่ดอนเมือง กทม. ซึ่งลูกพาไป และเมื่อดอนเมืองถูกน้ำท่วมอีก ก็หนีไปอยู่ลาดกระบัง แล้วน้ำก็ท่วมอีก

                     กระทั่งลูกชายคนหนึ่งนำตนมาปล่อยไว้ริมถนนเมื่อคืนนี้บอกว่าจะมีลูกอีกคนมารับ แต่ตนก็จำชื่อลูกๆ และจำไม่ได้แล้วว่าอยู่แถวไหนกันบ้าง จำได้เพียงมีลูกคนหนึ่งชื่อ "เฉลา" เท่านั้น สิ่งที่ทำให้ถึงกับอึ้ง เมื่อแม่ค้าบอกว่า “เชื่อว่าลูกๆ นำยายมาทิ้งแล้ว” นางบุญเรือน ตอบกลับว่า “มันไม่ทิ้งยายหรอก แค่นำมาไว้ริมถนนรอให้ลูกอีกคนมารับเท่านั้น” และคุณยายขอปักหลักรอลูกอยู่ริมถนนนี้ต่อไป

                   อย่างไรก็ตาม มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาเจรจา แต่นางบุญเรือนไม่ยอม ขอปักหลักรอลูกอยู่ริมถนนต่อไป ขณะเดียวกัน มีการติดต่อไปยังสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรี อยุธยา เพื่อเข้าให้การช่วยเหลือ แต่พบว่าเจ้าหน้าที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจที่จะให้การช่วยเหลือ ทำให้นางบุญเรือนยังคงนั่งรอลูกๆ อยู่ริมถนนต่อไปอย่างน่าสงสาร

(http://www.thairath.co.th/content/219819)


๓) "ลูกฆ่าพ่อแม่ทิ้ง"

                     เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเมืองกำแพงเพชร พบศพนายอินทรีย์ เนียมทอง อายุ 61 ปี ข้าราชการครูเกษียณ จังหวัดกำแพงเพชร เสียชีวิต โดยศพถูกหมกไว้ที่ห้องเก็บของใต้บันใด และนางศิริพร เนียมทอง อายุ 56 ปี ภรรยา ถูกยิงเสียชีวิตเช่นเดียวกันและถูกนำศพไปใว้ใต้เตียงนอน ซึ่งคาดว่าคนร้ายน่าจะเป็นนายกานต์พิสิฐ เนียมทอง บุตรชายของผู้เสียชีวิตที่หายไป

                      ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดอนเมือง สามารถจับกุมตัวนายกานต์พิสิฐ ได้พร้อมรถกระบะที่ใช้หลบหนี ขณะกบดานที่บ้านเพื่อน และจากการตรวจสอบภายในรถ พบของกลางอาวุธปืนนอริงโก้ขนาด 9 มม.1 กระบอก กระสุน 10 นัด แม็กกาซีน 2 อัน บัตรเอทีเอ็ม 1 ใบ ถูกเบิกเงินออกจากบัญชีไป 5,000 บาท เหลือค้างในบัญชี 1,000 บาท โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง จึงควบคุมตัวมาสอบสวน พร้อมประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองกำแพงเพชร มารับตัวไปดำเนินคดี

                      สอบสวนเบื้องต้น นายกานต์พิสิฐ ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือจริง โดยคับแค้นใจที่พ่อกับแม่ ชอบดุด่าว่ากล่าวเป็นประจำ และมีปากเสียงกันรุนแรง พ่อถึงกับใช้ปืนจี้ที่หัว โดยที่แม่เห็นเหตุการณ์ตลอดแต่ไม่เคยช่วย วันเกิดเหตุจึงแอบเอาปืนของพ่อ มากระหน่ำยิงขณะพ่อกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ และแม่ที่อยู่ในบ้าน โดยที่ไม่รู้ตัวว่ายิงไปกี่นัด 

                       จากนั้นจึงได้ลากศพแม่ไปซ่อนใต้เตียง และนำศพพ่อไปซ่อนใต้บันได จากนั้นจึงทำความสะอาดคราบเลือด ก่อนขับรถหลบหนีไปบ้านเพื่อน โดยบอกเพื่อนว่ายิงคนมา แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นพ่อกับแม่ จนมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว

                    ด้านนายอิทธิภพ น้องชายของผู้ต้องหาได้เดินทางให้การเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า พี่ชายเคยเข้ารับการบำบัดยาเสพติดหลายครั้ง และเคยประสบอุบัติเหตุได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ใบหน้ายุบ เป็นคนเงียบขรึมอารมณ์แปรปรวน กินเหล้าสูบบุหรี่จัด และชอบสูบกัญชาจนมีปากเสียงกับพ่อ แต่ผู้ต้องหาอ้างว่าขณะเกิดเหตุไม่ได้เสพยาเสพติดแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจเผยว่า ในขณะสอบสวนนายกานต์พิสิฐมีท่าท่านิ่งขรึม พูดน้อย สีหน้าเคร่งเครียด ต้องค่อยๆคุยจึงจะยอมพูดด้วย (http://news.sanook.com/1334538)


๔) "พ่อยันจำใจฆ่า-ยืนรอมอบตัว"

                    พ่อสุดทนลูกชายเนรคุณ งานการไม่ยอมทำ เมาสุราแล้วชอบทำร้ายทุบตีพ่อแม่ และยังคิดทำมิดีมิร้ายแม่ผู้บังเกิดเกล้า จนต้องหนีไปอยู่กับลูกสาวในต่างจังหวัด ฉวยโอกาสที่ลูกชายจอมเกเรนอนเมาไม่ได้สติ คว้าขวานจามหัวแบะตายสยองคาบ้าน แล้วยืนถือขวานรอมอบตัวตำรวจ

                     พ่อสุดทนใช้ขวานจามหัวลูกชายตายสยองราย นี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 22 ม.ค. พ.ต.ท.สัมพันธ์ ปังลือรัตน์ พงส.สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุฆ่ากันที่บ้านเลขที่ 11/1 หมู่ 10 ต.บ้านตาด จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย ร.ต.ท.คมกริช ศรีหริ่ง รอง สว.สส. แพทย์เวร รพ.ศูนย์อุดรธานี หน่วยกู้ภัยมูลนิธิส่งเสริมธรรม 

                  โดยที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว ภายในห้องโถงพบศพนายปราโมทย์ มีแวว อายุ 35 ปี นอนหงายจมกองเลือดอยู่บนที่นอน มีบาดแผลถูกฟันด้วยของมีคมบริเวณหน้าผาก กลางศีรษะ และใบหูหลายแผล ข้างศพพบขวดเหล้าขาววางอยู่ 1 ขวด

                       ส่วนคนร้ายไม่ใช่ใครที่ไหน คือนายทองลา มีแวว อายุ 69 ปี เป็นพ่อบังเกิดเกล้าผู้ตายเอง หลังก่อเหตุยืนถือขวานเปื้อนเลือดรอมอบตัวกับตำรวจ แจ้งให้ทราบว่า เป็นคนใช้ขวานจามหัวนายปราโมทย์ซึ่งเป็นลูกชาย เพราะทนไม่ไหวที่ลูกชายเมาสุราแล้วพาลหาเรื่องทำร้ายชกต่อยเป็นประจำ พร้อมให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่ามีลูกชายหญิงทั้งหมด 6 คน นายปราโมทย์เป็นลูกคนที่ 3 ลูกทุกคนแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว เหลือแต่นายปราโมทย์ที่ยังไม่แต่งงาน อาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้าน 

                   นายทองลายังให้การด้วยความคับแค้นใจอีก ว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อช่วงเช้าของวันเดียวกันนายปราโมทย์ซื้อสุรามาดื่มจนเมา แล้วเปิดเพลงเสียงดัง ได้บอกให้ลูกชายให้เบาเสียงลงเกรงจะรบกวนเพื่อนบ้าน ทำให้ลูกชายไม่พอใจตะโกนด่า พร้อมข่มขู่ว่า “อย่ามายุ่งเดี๋ยวจะถูกตีนกู” ด้วยความกลัวจะถูกลูกชายทำร้ายจึงหนีออกจากบ้านไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่ บ้านญาติ พร้อมซื้อสุรามาดื่มเป็นการย้อมใจ ก่อนจะย้อนกลับไปที่บ้านอีกครั้ง พบลูกชายเมานอนไม่ได้สติอยู่บนที่นอน ตัดสินใจคว้าขวานที่อยู่ภายในห้องออกมา แล้วกระหน่ำฟันลูกชายแบบไม่ยั้งมือจนเสียชีวิต

 

                    จากนั้นเดินไปบอกให้ญาติทราบ ให้ช่วยโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ “ลูกทั้งคนผมเลี้ยงมากับมือผมก็รัก แต่ลูกเนรคุณซ้อมพ่อแม่แบบนี้เลี้ยงต่อไปไม่ไหว สมควรตายสถานเดียว” นายทองลากล่าวทั้งน้ำตา เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ควบคุมตัวพร้อมของกลางไว้ดำเนินคดี

                  มีคำพูดของคนหนึ่งกล่าวสะท้อนปัญหานี้ว่า ผมไม่ทราบว่าท่านได้อ่านข่าวเรื่องราวอย่างนี้ จะคิดอย่างไรกัน  เทคโนโลยีก้าวหน้าไป คนไทยช่างทันสมัย ไม่นึกถึงพระคุณผู้ที่ให้กำเนิดแม้แต่น้อย  ใจโหดร้ายพอที่จะโยนแม่ทิ้งกลางถนนพร้อมกับหมาหนึ่งตัวได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน  คนไทยครับ เราเป็นอะไรกันไปแล้วหรือ? อีกความเห็นหนึ่ง คนเราทุกวันนี้ ก็แปลก มองเห็นเพื่อนๆ ที่ทำงาน หลายคน  มุ่งมั่นที่จะมีคู่ครองกันมาก ไม่เคยเห็นใครที่จะมุ่งมั่นเพื่อพ่อ แม่บ้างเลย

                  ทุกคน อยากทำงาน เก็บเงิน ซื้อรถ เพื่อจะได้ขับไปทำงานอย่างสบาย อยากซื้อบ้านเพ ราะต้องการแยกตัวออกจาก พ่อ แม่ อยากแต่งงาน เพื่อเหตุผลแห่งการสืบพันธุ์อันเป็นธรรมชาติแห่งสัตว์โลก ทำงานหนักเพื่อความฟุ่มเฟือย ของตนเอง ไม่ว่างานหนักแค่ไหนทนได้ แต่ไม่เคยทำงานบ้านเพราะอ้างว่าเหนื่อยมากพอแล้ว  ทุกสิ่งในเนื้องานจำได้หมด แต่ไม่เคยจำได้ว่าพ่อแม่ชอบกินอะไร

                    เจ้านายอยากได้อะไรทำให้ได้หมด แต่ไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่  คุณพาคู่รักไปท่องเที่ยว หาอาหารอร่อยๆกินได้ทุกที่ แต่ไม่เคยแม้แต่ซื้อกับข้าวกลับบ้าน ทุกคนลืม มองข้ามคนที่รักเรามากที่สุด (http://www.thairath.co.th/content/398242)


๕)   “14 มีนาคม 57 ญาติเชื่อมีเบื้องหลัง ลูกทรพีฆ่ายกครัว 3 ศพ”

                   มีลูกฆ่าพ่อแม่และน้องชาย ด้านญาติยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ บอกแรงจูงใจไม่น่าจะมาจากแรงกดดันจากครอบครัว ชี้มีพร้อมทุกอย่าง ระบุรถนิสสัน เทียน่า พ่อซื้อให้แล้ว แต่ให้ขับเวลาอยู่กับพ่อเท่านั้น ด้านย่าบอกถึงโกรธแต่ก็ให้อภัย เผยหลานชายบอกว่าหลังพ้นโทษจะบวชไม่สึก

                  จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ กรณีที่ นายบี (นามสมมติ) นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ได้ใช้อาวุธปืนปลิดชีพพ่อแม่และน้อง จากนั้นวางปืนใส่ที่มือของน้อง พร้อมกุเรื่องให้การกับตำรวจว่า น้องถูกกดดันจากพ่อแม่จึงตัดสินใจฆ่าพ่อแม่จากนั้นก็ยิงตัวเองตายตาม

                   ความคืบหน้าคดีดังกล่าว โดยระบุว่า เมื่อช่วงเย็นวานนี้ (13 มีนาคม 2557) ทางญาติได้จัดพิธีฌาปนกิจศพน้องชายที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีครูและเพื่อนนักเรียนมาร่วมไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก ส่วนงานฌาปนกิจคุณแม่จะมีขึ้นในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม ขณะที่คุณพ่อซึ่งเป็นข้าราชการป่าไม้เก่าจะมีพิธีฌาปนกิจในช่วงเย็นวันเดียวกัน

                   ทั้งนี้ ทางญาติฝั่งแม่นั้นไม่ปักใจเชื่อคำให้การของนายบี (นามสมติ) โดยน้าสาวระบุว่า จากการลงมือของหลานดูเหมือนเตรียมการมาเป็นอย่างดี เชื่อว่าจะต้องมีเหตุที่โกรธแค้นมาก ๆ หรือมีคนยั่วยุให้กระทำการดังกล่าว เพราะครอบครัวของหลานสมบูรณ์แบบ ไม่มีเรื่องที่ทำให้คิดได้เลยว่าปัญหาครอบครัวจะเป็นแรงจูงใจในการก่อเหตุ ร้ายเช่นนี้  (http://ch3.sanook.com/13547)


                  นี่คือ ข่าวตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่แม่กับลูก เกิดการจองเวร สร้างกรรมต่อกัน ซึ่งขัดแย้งในสังคมพุทธและสังคมที่นับถือพ่อแม่ ในฐานะเป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ลูกกลับแสดงความเป็นมารสังหารแม่ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมยุคใหม่กำลังอ่อนแอลงและขาดคุณธรรมประจำใจตนเอง ฆ่าได้แม้สายเลือด ฆ่าได้ผู้ให้กำเนิด ยังมีอีกมากมาย ในเวบนี้ http://www.sanook.com/hot/search/all/ลูกทรพี ซึ่งต้องศึกษาวิเคราะห์ปัญหาเหล่านี้ว่า เกิดจากอะไร

                 เมื่อสังคมนี้ขาดคำว่า “แม่แท้ๆ” จึงเป็นได้แค่ "แม่เทียม" อะไรทำให้เรียกว่า แม่แท้ๆ ในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา กล่าวไว้หลายแห่ง เช่น   

                 ๑) ในมงคล ๓๘ ข้อที่ ๑๑ กล่าวว่า การบำรุง อุปถัมภ์แม่ เลี้ยงดูแม่ เป็นมงคลอย่างยิ่ง 

                 ๒) ข้อปฏิบัติที่สัตบุรุษกล่าวสรรเสริญ ข้อที่ ๓ ว่า มาตาปิตุอุปัฏฐาน แปลว่า การบำรุง ดูแล ปฏิบัติต่อมารดาบิดา ย่อมอยู่เป็นสุข

                 ๓) บุคคลที่หาได้ยาก คือ บุพการี คือ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ฯ กตัญญูกตเวที คือ ผู้รู้คุณดงักล่าว 

                 ๔) อนันตริยกรรม คือ การกระทำที่หนักสุดคือ ฆ่ามารดา บิดา หมดทางไปสู่สุคติ มีแต่นรกอย่างเดียว 

                 ๕) ทิศ ๖ ในข้อ ทิศเบื้องหน้า คือ พ่อแม่ ผู้ทำคุณมาก่อน ผู้สนับสนุน หล่อเลี้ยงชีวิตเรามาก่อน มีหน้าที่ต่อลูก ๕ ประการคือ ๑) ห้ามมิให้ทำชั่วทั้งปวง ๒) ให้ตั้งอยู่ความดี ๓) ส่งให้เรียน ๔) หาคนดี ดูคนที่จะเป็นภรรยา สามีให้  ๕) มอบมรดกให้

                  ส่วนคุณธรรมที่ผู้เป็นแม่ควรมีไว้ คือ ๑) พรหมวิหารธรรม คือ เมตตา (มีใจรัก อ่อนโยนต่อลูก) กรุณา (คอยช่วยเหลือให้พ้นทุกข์) มุทิตา (แสดงความยินดีกับลูก) อุเบกขา (ปล่อยให้ลูกฝึกฝน แก้ปัญหาด้วยตัวเอง และคอยดูแลห่างๆ) ๒) อคติ ๔ พ่อแม่ ไม่ควรมีอคติต่อลูก ควรรักลูกเสมอกัน เท่าเทียมกัน  ๓) หน้าที่ของพ่อแม่ในทิศเบื้องหน้าที่กล่าวข้างบน

                  ดังนั้น หากแม่รู้จักธรรมเหล่านี้ได้ดี และปฏิบัติตามได้ ย่อมได้ชื่อว่า เป็นแม่แท้ มิใช่แม่เทียม กระนั้นก็ตาม ในสังคมยุคใหม่ แม่อาจเพี้ยน แปรเปลี่ยนไปมากแล้ว หากสังคม ไม่มีธรรมดังกล่าว ก็จงรอรับผลร้าย จากการจอมเวรต่อกันร่วมกันในสังคมต่อไป

                  ในทำนองเดียวกัน พ่อแม่ ที่มีคุณธรรม จริยธรรม อาศัยหลักคุณธรรม ศีลธรรม กฎระเบียบ วินัย มารยาท มาอบรมสั่งสอนลูกให้รู้จักบุญคุณ การตอบแทนผู้ที่เลี้ยงหรือใครก็ตามเลี้ยงมาเรียกว่า กตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ลูกต้องมีคุณธรรม หลักธรรม เชื่อฟังพ่อแม่ตอบแทน

                   ส่วนในทิศ ๖ ข้อ ทิศเบื้องหน้า ลูกพึงกระทำต่อแม่เมื่อท่านล่วงลับไป ก็ทำบุญอุทิศให้ พ่อแม่ดังนี้คือ ๑) เลี้ยงพ่อแม่เวลาท่านแก่ชรา มิใช่ปล่อยทิ้ง  ๒) ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน ๓) ดำรงวงศ์ตระกูลของท่าน ๔) ทำตัวให้เหมาะสมที่จะรับมรดกท่าน ๖) แนะนำให้ลูกได้บวชเรียน ได้ศึกษาเรียนรู้ อบรมบ่มปัญญา

                  การแสดงเช่นนั้น ได้ชื่อว่า “ลูกของพรหม” นอกจากนี้ พระพุทธศาสนากล่าวถึงลักษณะของลบุตรมี ๓ ลักษณะคือ ๑) อภิชาตบุตร คือ บุตรที่เหนือกว่าพ่อแม่ ดีกว่าพ่อแม่ มีคุณธรรมมากว่า เช่น ลูกได้บวช ลูกสำเร็จการศึกษา กิจการต่างๆ เป็นต้น ๒) อนุชาตบุตร คือ บุตรที่เสมอพ่อแม่ ไม่ดีกว่า ไม่เลวกว่า มีคุณธรรมเท่าเทียมกัน ๓) อวชาตบุตร คือ บุตรที่ต่ำกว่าพ่อแม่ เช่น ลูกทรพี ลูกกตัญญู เป็นต้น

                  ถ้าทั้งสอง (แม่ลูก) มีคุณธรรมประจำใจไว้ มีหลักธรรมค้ำจุนจิตได้ ก็จะกลายเป็นผู้ที่เรียกว่า “ลูกแท้” มิใช่ลูกเทียม “แม่แท้” มิใช่แม่เทียม เมื่อทั้งสองมีธรรมแล้ว ได้ชื่อว่ามี “แม่ธรรม” ในใจ ในภายภาคหน้า ลูกก็จะกลายเป็นต้นแบบของลูกของตนต่อไป แม่ก็จะเป็นแม่แท้ที่มีแม่ธรรมประจำเช่นกัน  มิใช่เป็นลูก เป็นแม่ดังที่ปรากฏในสังคมปัจจุบัน คือ แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าแม่ จองเวร จองกรรม ไม่จบสิ้นทั้งชาตินี้และชาติต่อไป 

 ——————–(๑๒/๘/๕๗)————————-

คำสำคัญ (Tags): #แม่ ลูก
หมายเลขบันทึก: 574378เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2014 18:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม 2014 20:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

คนปัจจุบันเห็น "เงิน" สำคัญกว่า "คน" กันมากครับ...ความเลวร้ายจึงตามมาทุกขณะ มากขึ้น ๆ อย่างที่อาจารย์กล่าวมาทั้งหมดนั่นแหละครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท