วันที่สองของพรรษาหนึ่งวันที่ใจต่าง
ตื่นเช้า ตีสาม เดิน แต่ข้างในยังมัว คล้ายง่วงๆ
ทำวัตรเช้าแล้วไปทำอาหารถวายพระ
ครูให้โอกาส ให้หนูเป็นธุระนำอาหารสุขภาพ ที่ท่านทำไปจังหัน ที่วัดที่หลวงปู่ไปจำพรรษา
แต่จิตข้างในหนูมันมัว
กลับมาครูเมตตาชี้ให้เห็นให้แก้ กว่าจะหายมัว
ก็กินแรงครู
ใจตนเองก็ไม่ปรารถนาจะทุกข์ ครูจึงเมตตา
เริ่มใหม่กับเจ็ดเดือนที่กำลังจะผ่านไปเป็นความทุกข์ที่น่าจะเห็นชัดกับตนเองได้แล้วกับผลกรรม
ในการตามใจตนเอง
เหลืออีกห้าเดือนกับโอกาส
ตั้งใจบริกรรม เข้ามาทำความสะอาดสำนักแม่ชี
บ่ายๆครูให้โอกาสไปซื้อของ ในเมืองกลายเป็นว่า ไปให้ความสำคัญกับสิ่งของที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน
เสียเวลาอยู่นาน แต่ของจำเป็นหาไม่ได้ ไม่ทุ่มเทหา
ชีวิตเราเป็นอย่างนี้ซินะเลยเป็นแบบนี้
ใจย้อนคิดเรื่องที่ครู
"ถ้ามันมุ่งมั่นตั้งใจภาวนาเหมือนทางเดิน คงจะดีซินะ"
ย้อนทวนกับตนเอง ใช้ใจแบบไหนในการเลือกเดินเข้าศาลา 4
คิดกับตนเองว่า ทางที่ไม่ควรเดินคิดซะว่า มันเป็นกำแพงสู้ที่มีประตูแต่ล็อคกุญแจ
สรุปว่า ใจคิดว่าตรงนั้นมันไม่มีเส้นทางสำหรับตนเอง ก็เลยไม่ใช้
ถ้าใจย้อนคิดกับตนเองได้ว่า
สิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรในเส้นทางชีวิต เหมือนว่า
มันมีกำแพงก็จะไม่เลือกเดิน แล้วทางที่จะต้องเดิน ต้องทำก็แคบลง คือ ข้อวัตร
สิ่งที่ครูบาอาจารย์ชี้แนะและบริกรรม
ช่วงทำวัตรเย็น แม่และญาติๆของครูมาร่วมทำวัตรเย็นเป็นโอกาสพิเศษที่ได้ร่วมบุญ
ครูตามมาสมทบ การทำวัตรเย็นรู้สึกกับตนเองได้ถึง พลังและความเมตตาที่แผ่สว่างจากครู
แค่เห็นและสัมผัส. ใจหนูก็เป็นสุข
อันนี้แค่หนึ่งวัน ใจเปลี่ยนบ่อยมาก ที่ไม่ลงต่ำเพราะครูช่วยเมตตา
ได้เรียนรู้ว่า แค่ยอมรับ ว่าผิด ก็แก้ไขได้ มันง่ายอยู่นะ
แต่ที่ผ่านมาที่มันยากเพราะดื้อและเอาแต่ใจ
ไม่เชื่อฟังครู ไม่มุ่งมั่นกับข้อวัตร
การอยู่ที่วัด เอื้อให้การรักษาศีล เป็นไปได้สะดวก แต่ใจที่หนักๆแน่น เป็นโจทย์ที่ต้องสู้เอาเพราะของเก่าสร้างมาไม่ดีต้องทำใหม่