​ มาช่วยกันพัฒนาการเกษตรและข้าวไทยให้ปลอดภัยไร้สารพิษกันเถอะครับ


ถ้าจะพูดถึงสถานการณ์ข้าวในขณะนี้ คาดว่าอารมณ์ความรู้สึกของพี่น้องชาวนาชาวไร่คงจะเริ่มมีความรู้สึกที่แตกต่างจากห้วงช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา เนื่องด้วยว่าทาง คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ได้นำเงินส่วนที่เหลือจากการค้างจ่ายให้ชาวนาอีก 92,000 ล้านบาทนั้นออกมาทยอยจ่ายให้เรียบร้อยแล้วและคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้อย่างแน่นอน ขยายความให้เห็นชัดเจนขึ้นก็คือในเดือนกรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป เงินจำนวนนี้จะช่วยทำให้ไพร่ฟ้าหน้าใสขึ้นมาได้บ้างไม่มากก็น้อย โดยจะมีเงินไปจ่ายค่าเทอม ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำ ค่าไฟและดอกเบี้ยให้พอได้มีชีวิตที่ลื่นไหลไปตามอัตภาพ
<p>

ชาวไร่ชาวนาหรือภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรโดยเฉพาะเรื่องข้าว ถ้ามองออกไปนอกรั้วนอกบ้านของเรา จะเห็นว่าความต้องการข้าวของทั้งโลก ยังคงมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องด้วยประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นกอรปกับความต้องการสต๊อคข้าวขององค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่ต้องการสำรองข้าวให้เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าไปดูปริมาณผลผลิตข้าวโลกที่ทาง FAO. คาดการณ์ในปี 2557/58 มี 501.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.8 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปริมาณสต๊อคข้าวโลกมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 174.8 ล้านตันเป็น 180.9 ล้านตัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนนัยย์บางอย่างเกี่ยวกับความสำคัญหรือความจำเป็นเกี่ยวกับอาหารของมนุษยชาติที่มีการตื่นตัวและเล็งเห็นความสำคัญสอดคล้องกับคำกล่าวของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤฎากร “เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง”


ประเทศที่ผลิตข้าวมากที่สุดในโลกหาใช่ประเทศไทยเรานะครับท่านผู้อ่าน แต่คือประเทศจีน อินเดีย บังคลาเทศและเวียดนาม แต่ไทยเรานั้นโชคดีที่ผลิตผลออกมาและมีเหลือจำหน่ายได้มากเป็นอันดับหนึ่ง (แต่มิได้ปลูกหรือผลิตเป็นอันดับหนึ่งนะครับ) เพียงแต่ประชากรเราน้อยกว่าประเทศที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดจึงมีเหลือเผื่อไว้ให้โรงสีที่มีอยู่มากกว่า 5,000 แห่ง และพ่อค้าผู้ส่งออกอีก 200 รายได้พอมีงานทำสร้างได้ให้ตนเองและพี่น้องชาวไร่ชาวนาเป็นกระบวนการวงจรให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านด้านการเงินและสินค้า (ข้าว) ซึ่งเป็นวัฏจักรเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนไปได้ แต่ถ้ายักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดียสามารถพัฒนาปรับตัวผลิตข้าวจนเหลือเพียงพอส่งออกได้เมื่อใด ผู้ที่กำหนดราคาข้าวโลกอย่างแท้จริงคงจะสร้างความปั่นป่วนวงการค้าข้าวโลกอย่างมากโดยเฉพาะประเทศไทยเรา


ดังนั้นลูกหลานไทยที่มีหัวใจเกษตรและมีบรรพชนเป็นผู้ที่มีความเชียวชาญในด้านการเกษตรมาอย่างยาวนาน จะต้องออกมาช่วยกันรณรงค์พัฒนาให้ภาคการเกษตรของเรามีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศ ในแง่ที่ทำเกษตรควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่เผาอินทรีย์วัตถุตอซังฟางข้าว ไม่ใช้สารพิษ ลดต้นทุน ลดการใช้เมล็ดพันธุ์ เพื่อที่จะได้มีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆที่กำลังวิ่งแรงแซงหน้าเราไปทีละน้อยจนเกือบปล่อยให้เราอยู่อันดับบ๊วยของประเทศ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าภิรมย์สมฤดีเท่าใดนัก


การใช้วัสดุทดแทนปุ๋ยเคมีจากหินแร่ภูเขาไฟธรรมชาติการใช้ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกการใช้สมุนไพรไล่แมลง การใช้จุลินทรีย์ชีวภาพทดแทนยาฆ่าแมลง การตรวจวัดกรดด่างของดินก่อนปลูก ถือเป็นทางเลือกให้พี่น้องเกษตรกรในการลดต้นทุนและเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้มีอาหารที่ปลอดภัยไว้รับประทาน แถมยังเป็นการรักษ์โลกและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปด้วยอีกทางหนึ่ง วันนี้จึงอยากเชิญชวนให้ท่านผู้อ่านมา ลด ละ เลี่ยง เลิก การใช้สารพิษการเกษตรกันเถอะนะครับ



มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com

</p>

หมายเลขบันทึก: 570475เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2014 13:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2014 13:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท