บันทึกจากใจแม่


วินาทีแรกที่รู้ว่า มีอีกหนึ่งชีวิตซุกตัว อิงแอบไออุ่นในท้องแม่ และมีเสียงกระซิบข้างหูในยามที่แม่หลับตาลงในทุกค่ำคืน แม่จ๋าหนูขออยู่ด้วยคนนะ” ในห้วงแห่งความฝันเสียงนั้นค่อยๆแจ่มชัด แม่ดีใจ อย่างบอกไม่ถูก พ่อหนูยิ่งก็ดีใจเป็นที่สุด เมื่อแน่ใจว่ามีหนูอยู่ในท้องแม่แน่นอนแล้ว แม่กับพ่อก็ชวนกันพาหนูไปฝากให้คุณหมอช่วยดูแล คุณหมอบอกแม่ว่าหนูอายุ 10 สัปดาห์แล้ว แม่กับพ่อรู้สึกตื่นเต้นกับคำบอกเล่าของคุณหมอ จนกระทั่งเมื่อหนูอายุ ได้ 28 สัปดาห์ ข่าวร้ายที่ถึงกับทำให้แม่และพ่อหัวใจแทบสลาย คือหนูมีความผิดปกติของหัวใจชนิดรุนแรง แม่เองเมื่อได้ยินดังนั้น น้ำตาแห่งความเสียใจ มันหลั่งไหล พรั่งพรู ความรู้สึกเหมือนฟ้าถล่ม ดินทลายลงในพริบตา แม่ได้แต่ถามคุณหมอว่าจะมีวิธีรักษาให้หายขาดหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้รับคือคุณหมอส่ายหน้า และตอบเพียงสั้นๆ ว่ายากมาก    

                      ในช่วงเวลาตลอด 28 สัปดาห์ แม่กับพ่อมีโอกาสได้แสดงความรักต่อหนู ทุกวันพ่อจะมาจับลูบ คลำและหอมที่ท้องแม่ แล้วพูดกับลูกว่า พ่อกับแม่รักหนูนะ มันทำให้แม่รู้สึกดีใจและมีความสุขมากๆ ถึงแม้จะเริ่มรับรู้ว่าหนูอาจเกิดมาไม่ปกติแต่แม่กับพ่อ ก็หวังอย่างเต็มเปี่ยม ว่าโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ จะช่วยต่อความหวังและเยียวยาหัวใจของแม่กับพ่อให้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง ความหวัง ของแม่และพ่อคือ ขอให้โรคที่ลูกเป็นนั้น เป็นโรคที่ รักษาหาย “ลูกยังดิ้นดีเละแข็งแรงสมบูรณ์อยู่นะ” นี่คือคำปลอบใจตัวเองของแม่ ทันทีที่แม่กับพ่อได้พบคุณหมอที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ประโยคแรกที่คุณหมอเอ่ยขึ้น “หมอต้องแสดงความเสียใจด้วยนะคะ ลูกคุณเป็นโรคหัวใจชนิดรุนแรง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้” ความรู้สึกตอนนั้นหัวใจของแม่มันแหลกสลายแล้ว คำพูดของคุณหมอยืนยันความผิดปกติชนิดที่ไม่มีโอกาสต่อรองอะไรได้อีก การรักษามีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนหัวใจ และค่าใช้จ่ายไม่น้อย แล้วแม่จะเอาเงินจากที่ไหน แม่ถามคุณหมอในประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก  เพื่อให้แน่ใจว่ามันใช่จริงๆ  “แล้วจะทำยังไงต่อคะคุณหมอ”  หมอบอกแม่ว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือ การยุติการตั้งครรภ์ แต่หนักไปกว่านั้น คือในเวลานี้ ไม่มีทางเลือกใดเลย การยุติการตั้งครรภ์เมื่อหนูอายุขนาดนี้แล้วมันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเรื่องราวทุกอย่างดำเนินมาถึงทางตัน สูติแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายถึงโรคที่หนูเป็น ความซับซ้อนของตัวโรคที่ยากแก่การแก้ไข และอธิบายเหตุผล ทำไมไม่สามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ และต้องรอจนกว่าจะครบกำหนดคลอด

                       คุณหมอท่านก็ให้กำลังใจและปลอบใจ ทำให้แม่ รู้สึกดีขึ้น พอออกจากห้องตรวจ แม่ไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับพ่อหนู ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน แม่นั่งนิ่งเงียบ พร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหล  เพราะทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ พอกลับถึงบ้านจึงตัดสินใจบอกความจริงกับพ่อหนูและยาย เมื่อทุกคนได้รับทราบเรื่องราว ต่างก็ เสียใจมากแต่ทุกคนก็เข้าใจไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่ใช่ความผิดของแม่หรือของใคร แม่อยากจะบอกหนูว่า หนูรู้หรือเปล่า นับตั้งแต่ ที่พ่อรู้ว่าหนูผิดปกติ พ่อที่เคย จับ จูบ ลูบ หอม พูดกับลูก ก็ไม่ทำอีกเลย ยิ่งทำให้แม่รู้สึกเสียใจมาก ก็เลยถามว่าทำไมพ่อถึงไม่ปฏิบัติต่อเราเหมือนเช่นที่เคย  พ่อบอกว่า “ไม่อยากสร้างความผูกพัน ไม่อยากเห็นหน้าลูก ไม่อยากได้ยินเสียง เพราะรู้ว่ายังไงแล้วลูกก็ไม่ได้อยู่กับเรา สงสารลูก” และความรู้สึกเหล่านี้ มันก็ผุดขึ้นในใจแม่เช่นเดียวกัน แม่เห็นแก่ตัวเกินไปใช่มั๊ยลูก แม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เมื่อใดที่แม่อยากรักหนู อยากผูกพันกับหนู เสียงหนึ่งก็บอกแม่ว่า รักถลำลึกแล้วจะถอนตัวไม่ขึ้น ความเสียใจเมื่อหนูไม่อยู่แล้วยิ่งเท่าทวีคูณ แม่มีความคิดนี้อยู่นานจนกระทั่ง เดือนต่อมาหมอนัดแม่และหนูอีกครั้ง ครั้งนี้นี่เองที่แม่ได้มีโอกาสพบกับพี่กุ้ง พยาบาลจากศูนย์การุณรักษ์ ซึ่งให้การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง วันแรกที่แม่ได้พูดคุยกับพี่กุ้ง แม่บอกพี่กุ้งว่า เสียใจมากในวันแรกที่รับทราบว่า หนูผิดปกติและอาจอยู่กับ แม่ไม่นาน แม่ร้องไห้ตลอด ดูภาพใน อุลตร้าซาวด์ ยิ่งร้องไห้ เมื่อพี่กุ้งถามถึงความต้องการอุ้มหนูในวันที่หนูคลอด “ แม่ไม่อยากอุ้มหนู ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากเห็นหน้า เร่งคลอดได้มั๊ย แม่อยากให้มันผ่านไปเร็วๆ จะช้าหรือเร็ว หนูก็ไม่ได้อยู่กับแม่ แม่เลือกเร็วดีกว่า” พี่กุ้งทิ้งช่วงเวลาให้แม่ได้นอนคิด และวันต่อมาพี่กุ้งมาพร้อมกับ อาจารย์หมอศรีเวียง ไพโรจน์กุล แพทย์ผู้เชียวชาญด้านการดูแลแบบประคับประคอง การได้พูดคุยสื่อสารกับพี่กุ้งและอาจารย์หมอ ทำให้ความคิดของ แม่ ที่คิดกับหนู เปลี่ยนไป จากที่อยากให้มันจบๆ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอุ้ม ไม่อยากกอด กลับกลายเป็นเปลี่ยนมุมคิดใหม่ เพราะคำพูดของอาจารย์หมอศรีเวียงกับพี่กุ้งวันนั้น “ถึงอย่างไร น้องเขาก็เป็นลูกของเรา เขาเกิดมาแล้วคงเหมือนเด็กทุกคน ที่ต้องการ ความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ของเขา เขาคงอยากให้พ่อแม่ กอด อุ้ม หอม และแม่ได้ให้นม ให้ความรักกับเขา เวลาที่มีอยู่ไม่มาก ทำไมเราไม่รีบตักตวง เป็นโอกาสทองสำหรับเรานะ หมอรู้ว่าคุณพ่อ คุณแม่กลัว กลัวว่าจะรัก ผูกพันกับเขา ความกลัวเป็นเสมือนกำแพงกั้น เราต้องทลายกำแพงนี้ให้ได้นะ ” เมื่อคิดได้ดังนั้น แม่ยิ่งรู้สึกผิดกับหนู จึงบอก ตัวเองว่า ถ้า แม่ไม่ให้สิ่งเหล่านี้กับหนู แม่จะรู้สึกผิดและเสียใจมากไปกว่านี้ในวันที่หนูจากไปแล้ว และจะเป็นปมติดในใจแม่ตลอดไป ทำไมไม่ทำหน้าที่ของแม่ให้ดี ยิ่งคิดแม่ก็ยิ่ง ร้องไห้เสียใจ แม่ขอบคุณ พี่กุ้งและอาจารย์หมอศรีเวียงที่สุด คำพูดนั้นให้แม่มีสติได้คิด และทำให้ความคิดของ เปลี่ยนไป และเกิดความรู้สึกสงสารหนูขึ้นมาทันที ขอบคุณที่มาจุดประกายความคิดนี้ให้กับแม่ อยากให้ทุกคนรู้ว่าความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่กำลังจะสูญเสียลูก มันเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ใจหนึ่งก็อยากให้ หนูอยู่ในท้องแม่นานแสนนาน แต่อีกใจก็อยากให้มันผ่านพ้น ช่วงเวลาแห่ง ความเจ็บปวดทรมาน พี่กุ้งได้มาเยียมอีกครั้งและได้มีการพูดคุยถึงแผนการดูแลตั้งแต่การคลอด การกู้ชีพเมื่อหนูคลอดซึ่งแม่ได้ปฏิเสธการกู้ชีพ และพี่กุ้งได้พูดคุยให้กำลังใจ และการดู ที่หนู จะได้รับ

               และในที่สุด ก็ถึงวันที่หนูมาถึง แม่รู้สึกปวดท้อง พอเข้าพบหมอที่ห้องฝากครรภ์ หมอตรวจ พบว่าหนูจะคลอดแล้ว ก็เลยส่งตัวไปที่ห้องคลอด ช่วงเวลาที่รอคลอดแสนจะทรมานอีกครั้ง ในใจคิดว่าก็ คิดไปต่างๆนานา ลูกคลอดออกมาแล้วคงอยู่กับ แม่ไม่ได้นาน แม่ไม่มีทั้งกำลังกายและกำลังใจที่จะเบ่งคลอด แต่เมื่อวินาทีแรกที่เห็นหน้าลูก ทั้ง แม่และ พ่อน้ำตาเราไหลและดีใจที่เห็นหน้าหนู พ่อ ได้กอด หอม อุ้ม หนู ดูแล้วทำให้ แม่รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก หนูอยู่กับ แม่และ พ่อในห้องแยกที่เป็นส่วนตัวโดยทีมการพยาบาลหอผู้ป่วยหลังคลอด จัดให้ เป้าหมายเพื่อจะให้ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า หนู โดยแม่กับพ่อปฏิเสธการรักษาที่ไม่เกิดประโยชน์และรุกรานร่างกาย เช่น ใส่ท่อช่วยหายใจ ปั๊มหัวใจโดยวางแผนร่วมกับทีมคุณหมอเด็กและทีมดูแลแบบประคับประคอง เราได้รับคำแนะนำและได้รับข้อมูลครบถ้วน แม่กับพ่อเตรียมชุดหล่อไว้ให้หนู และทีมได้เตรียมเก็บความทรงจำไม่ว่าจะเป็นภาพประทับใจ ปอยผม และประทับรอยเท้า เพื่อให้แม่พ่อได้มีความทรงจำดีดีเก็บไว้ หนูได้รับการดูแลจัดการอาการให้สุขสบายด้วยการใช้ยา มอร์ฟีน ผ่านทางชั้นใต้ผิวหนัง โดยใช้เครื่องปั๊มยาเคลื่อนที่ที่เรียกว่า syringe driver  46 ชั่วโมงที่หนูอยู่กับ แม่และพ่อ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนมีความสุขมากๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก ได้กอด หอม อุ้ม หนู พูดคุยกับหนู ให้นมหนู นี่คือการได้เติมเต็มจิตวิญญาณของความเป็นแม่และพ่อให้สมบูรณ์ที่สุด ทำให้ แม่กับพ่อ รู้สึกอบอุ่น วินาทีที่ลูกจากแม่ไป ถึงแม้หัวใจของแม่จะปวดร้าว แต่การจัดการอาการให้หนูสุขสบาย แม่แน่ใจว่าหนูจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หนูจึงไม่ทุกทรมานทำให้แม่สบายใจขึ้น แม่ไม่เสียใจที่ลมหายใจสุดท้ายของหนู ได้อยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของแม่ และพ่อ คุณหมอสุดารัตน์ ได้ประสานพี่กุ้งเพื่อนิมนต์พระจากหอผู้ป่วยสงฆ์อาพาธ มาทำพิธีทางศาสนา ทำให้ แม่และ พ่อ รู้สึกดีและสบายใจ ร่างกายหนู แม่กับพ่อได้มอบให้โรงพยาบาลศรีนครินทร์ไว้เพื่อ เป็นวิทยาทาน

แม่จ๋าแม่หนูขอนอนพักผ่อนเอนกาย                                      หนูขอหลับให้สบายในอ้อมแขน

ถึงวันนี้เราจะอยู่คนละแดน                                                    แต่เหมือนแม้นอยู่ใกล้ใจผูกพัน

แม่จ๋าแม่หนูรู้แน่แม่บากบั่น                                                    9 เดือนนั้นคือเพลามาอาศัย

ได้กอดแม่ซบอกอุ่นหนุนตักใคร                                            แต่เสียดายเวลานำพาเรา

ให้มาพบเจอกันแล้วพลันพราก                                              ยามหนูจากแม่ไปใจอย่าเหงา

หนูจะนั่งบอกฟ้าฝากถึงดาว                                                  และคอยเฝ้าชิดใกล้ใจผูกพัน   

บันทึกจากใจแม่ อนุญาตให้เผยแพร่ โดย แม่อิ่ง  

เรื่องเล่าและบทลำนำ โดย พี่กุ้งนาง 





หมายเลขบันทึก: 568855เขียนเมื่อ 20 พฤษภาคม 2014 22:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2014 22:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

...ประทับใจ ...ซาบซึ้งใจมากค่ะ...

บันทึกของ น้องกุ้งนาง อ่านแล้ว ซึ่งใจในการทำงาน

ขอบคุณที่นำมาแบ่งปัน

ประทับใจในความลึกซึ้งของมุมมองในการทำงานของคุณกุ้งนาง สุธีราครับ

สัพเพ สังขารา อนิจจา 

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท