เรียนภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพ


จากที่เคยเขียนบันทึก เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองกันได้ ขอให้ตั้งใจฝึกฝน...บทที่ 1 อยู่ในบล็อกของ Share.psu.ac.th แล้วก็ไม่มีใครมาอาสาเป็นนักเรียนจริงจังเลยสักคน ก็เลยหายไปนาน และปัญหาที่พบเจอในพวกเราก็ยังเหมือนๆเดิม เลยกลับไปดูที่เว็บไซต์ที่แนะนำไว้อีกที คิดว่าจะทยอยเอาเคล็ดลับที่เขาบอกไว้มาบอกต่อ ได้อ่านผ่านๆกันบ้างก็ยังดีนะคะ แต่ถ้าใครเอาไปลองทำจริงๆ ก็จะเป็นผลดีจริงๆได้ค่ะ

Large_eng1

Large_eng2

เขาบอกเคล็ดลับวิธีเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลอย่างรวดเร็วมา 7 ข้อ ซึ่งอ่านแล้วก็เห็นด้วยนะคะ เป็นวิธีที่จะว่าไปแล้วก็เป็นธรรมชาติจริงๆ อะไรที่ไปตามธรรมชาติจะยั่งยืนคงทน เราก็รู้เห็นกันอยู่

เขาบอกว่า ข้อแรกให้เรียนแบบทารก คือ ค่อยๆเรียนไปเรื่อยๆเริ่มจาก ฟัง ก่อนแล้วก็ พูด แล้วถึงค่อยอ่านและเขียน (ดูเหมือนที่เราเรียนมาแต่เล็กแต่น้อย มันจะกลับทางกับธรรมชาตินี่เอง เลยทำให้เสียเวลาเป็น 10 ปีโดยหาคนพูดสื่อสารได้จริงน้อยมาก) ย้อนคิดถึงตัวเองก็เลยรู้ว่า ทุกวันนี้ที่สามารถใช้ได้จริงเพราะได้เรียนมาถูกวิธีนี่เองค่ะ ทำให้ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีตั้งแต่เด็กๆโดยไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องเรียนอินเตอร์ ไม่เคยไปเมืองนอก

ข้อสอง ฟังทุกวัน ฟังวิทยุ ดูทีวี ดูหนัง ใช้บทเรียนออนไลน์ (วันละไม่ต้องมาก แต่ขอให้ได้ฟังทุกวัน) อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ตัวเองทำทุกวันแน่ๆคือ อ่าน จึงคุ้นชินกับการใช้ได้ง่าย

ข้อสาม หาเพื่อนคุยด้วยภาษาอังกฤษ หัดพูดคุย สนทนา (อันนี้ยากหน่อย แต่หาทางออนไลน์ น่าจะพอได้ เลือกดีๆหน่อยสักสองสามคน)

ข้อสี่ อ่านเรื่องราวในภาษาอังกฤษ เริ่มตั้งแต่เรื่องสั้นๆ หนังสือเด็ก หาเรื่องที่สนใจ ออนไลน์ก็มีอย่างที่เขาแนะนำที่ EnglishClub.com

ข้อห้า จดคำใหม่ๆทุกวัน ใช้สมุดจด เรียงตามตัวอักษร A B C...ลองแต่งประโยคด้วยศัพท์นั้นๆ เริ่มจากใช้ dictionary แบบ English-english ซึ่งจะทำให้เราได้ศัพท์มากขึ้น 

ข้อหก เขียนไดอะรี่ภาษาอังกฤษ เริ่มจากแค่ประโยคเดียว วันนี้รู้สึกยังไง อากาศเป็นอย่างไร วันนี้ทำอะไร แล้วค่อยเพิ่มจำนวนประโยคขึ้นเรื่อยๆ

ข้อเจ็ด ไปต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ ไปอยู่กับครอบครัวเจ้าของภาษา ได้ฟังเขาพูดกันเอง ได้ประสบการณ์การอยู่กับชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ

เรียกว่า 7 ข้อนี้เป็นวิธีที่"ใช่เลย"ค่ะ สำหรับตัวเอง ซึ่งโชคดีมากที่เกิดมาในบ้านที่ คุณพ่อคุณแม่ชอบเพลงฝรั่ง เราก็ฟังและร้องได้ตั้งแต่ยังไม่รู้คำแปล มีหนังสือภาษาอังกฤษ เพราะคุณพ่อชอบอ่าน แต่คุณพ่อไม่เคยสอนภาษาอะไรเราเลย เราก็แค่เห็นแล้วอยากอ่าน ก็อ่านเอง หาวิธีรู้คำแปลเอง มีพจนานุกรมอยู่แล้วในบ้าน ทั้งแบบไทย-อังกฤษ และอังกฤษ-อังกฤษ เราก็สนุกกับการอ่าน รวมทั้งอ่านพจนานุกรมด้วย ก็เลยได้ชื่อว่าเก่งภาษาอังกฤษมาตลอดตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน โดยไม่เคยต้องเรียนพิเศษหรืออะไรเลย เมื่อต้องไปเรียนต่างประเทศ ก็สอบภาษาอังกฤษที่ต้องสอบทั้ง TOEFL และ IELTS ได้คะแนนระดับดีมากเกินมาตรฐานในครั้งเดียว ไปเมืองนอกตอนแรกก็มีปัญหาแค่การพูดบางคำที่เราติดจากคำทับศัพท์ภาษาไทยทั้งหลายแหล่ ซึ่งฝรั่งฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไม่มีปัญหาเรื่องการฟัง การอ่าน การเขียนเลย ส่วนการพูดโดนเพื่อนฝรั่งบอกว่า เราพูดแบบเพราะเกินไป (เพราะเราพูดเหมือนภาษาหนังสือมากไปนั่นเอง) พอฟังคนอื่นพูดบ่อยๆ ถึงรู้ว่าประโยคที่เขาใช้พูดคุยกันจริงๆนั้นเป็นยังไง เราก็พูดได้เป็นธรรมชาติขึ้น 

สรุปว่า ใครอยากใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ผล หรืออยากให้ลูกๆเก่ง ใช้วิธี 7 ข้อนี้ได้ผลแน่นอนค่ะ ยืนยันได้จากประสบการณ์ตรงของตัวคนเขียนเองค่ะ

หมายเลขบันทึก: 563983เขียนเมื่อ 16 มีนาคม 2014 11:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มีนาคม 2014 11:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เห็นด้วยเลยครับ ขั้นต้นของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษก็คือ การฟัง เป็นอันดับแรก เมื่อก่อนที่เรายังเด็กๆ เราพูดไม่ค่อยได้ แต่เราฟังรุู้เรื่องใช่ไหมครับ ครูเดี๋ยวนี้เน้นแ่ต่ให้เด็กพูด พูด พูด และพูด พอชาวต่างชาติพูดกับเราด้วยภาษาง่ายๆ พอที่เราจะเข้าใจได้ เรากลับไม่รู้เรื่องเลย

บังเอิญทำตามนี้เกือบทุกข้อเลย ยกเว้นข้อที่ว่า คุยออนไลน์ ไม่ค่อยกล้าค่ะ มากันแบบแปลก ๆ
มีอีกอันหนึ่งนะคะคุณโอ๋ คือถ้าเราชอบอะไรเราก็ตรงไป practice อันนั้นเช่นตัวเองไปลองฟัง อ่านและเขียน poemภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ภาษาอังกฤษยังไม่ดี(ตอนนี้ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ดีที่สุด :-))

รู้สึกสนุก ไอ้ที่นั่งจดคำศัพท์ก็เพราะอยากมีคลังคำไว้เขียนกลอนนี่เอง

ขอบคุณบันทึกดี ๆ ค่ะ

ขอบพระคุณครับ หวังว่ากระทรวงศึกษาฯของไทยจะตื่นตัวและปรับเปลี่ยนระบบการเรียนการสอนโดยเริ่มจาก ฟัง ก่อนแล้วก็ พูด แล้วถึงค่อยอ่านและเขียน ในเร็ววันนี้นะครับ นี่ก็ใกล้จะเปิดเสรี AEC กันแล้ว

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท