๕๐๗. การคิดนอกกรอบ


       จากวัฒนธรรม + ความคิดดั้งเดิมของคนไทย จะถูกบอก

ถูกสอนให้คิดได้ภายในกรอบหรือขอบเขตที่ผู้ใหญ่ได้สั่งสอนว่า

เด็ก ๆ ต้องเดินตามหรือทำตามสิ่งนี้เท่านั้น...ถ้าเด็กคนไหนทำ

หรือปฏิบัติ ประพฤตินอกกรอบ ก็จะถูกตำหนิ อาจถึงขั้นถูกลงโทษ

ก็ว่าได้...

       ฉันก็อีกคนหนึ่งที่ถูกสอนให้อยู่ภายในกรอบ...แต่สำหรับ

เรื่อง "ความคิด" พ่อ - แม่ ไม่ได้ว่าตัวของฉันว่า "ห้ามคิด" เรื่อง

"นอกกรอบ"...การกระทำสิ่งที่อยู่ภายในกรอบ นั่นคือ ขนบธรรมเนียม

ประเพณี กิริยามารยาท ความอ่อนโยน ความอ่อนน้อมถ่อมตน

การมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสกว่า ความซื่อสัตย์ การมีคุณธรรมประจำใจ

การมีจิตเมตตา เอื้ออารีต่อผู้ที่ด้อยกว่า การให้เกียรติผู้อื่น...

การรู้จักที่จะทำอย่างไรให้อยู่ได้ในสังคม ฯลฯ มากกว่า ที่ฉันถูก

พ่อ - แม่ ของฉันสั่งสอน...

        แต่ในเรื่องของความคิดนอกกรอบ พ่อ - แม่ ของฉันไม่เคยห้าม

เพียงแต่เคยบอกว่า...ทำสิ่งใดที่ดีงาม เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อตนเอง

ก็ควรทำ...นี่คือ ความคิดของพ่อ - แม่ ของฉัน...ตัของฉันจึงมีอิสระ

ในด้านความคิด...และฉันก็คิดว่า ตัวของฉันมีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ

มาจนปัจจุบัน...ฉันทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการกองบริหารงานบุคคล

เป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปีเต็มที่ฉันคลุกอยู่กับสภาพพฤติกรรมของคนในช่วงที่

ฉันทำงาน "รับราชการ" ฉันได้รู้ ได้เห็นพฤติกรรมของคน...

        ณ ปัจจุบัน ฉันคิดว่า...การที่มี IT เข้ามามีบทบาทกับการทำงาน

ของคนในองค์กรนั้น ทุกคนต้องเก่งและคุ้นเคยกับ IT เพื่อช่วยในการทำงาน

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันทำงานฝ่ายบุคคลทำให้ฉันมองเห็นว่า...การได้รับคนเข้ามา

ทำงานด้วย นั้นเป็นเพียงแค่การวัดความรู้ ความสามารถในระดับเบื้องต้น

แต่เราจะทราบได้อย่างไรเล่าว่า...คน ๆ นั้นเก่งจริง ๆ มีความรู้ความสามารถ

จริง...เพราะเท่าที่ผ่านมา เราไม่สามารถวัดได้อย่างการเป็นรูปธรรม

        การคิดนอกกรอบของฉัน...ฉันคิดว่า...การที่ทุกคนมี blog เป็นของ

ตัวเองและได้ถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ + ประสบการณ์ต่าง ๆ ลงบน blog

ของแต่ละคนจะเสมือนหนึ่งเป็นการสร้าง "Brand" ของตัวเองว่าตนเอง

มีความรู้ ความสามารถอะไร? โดยเฉพาะประสบการณ์ก็จะเป็นตัวการันต์

บอกถึงความเก่งที่ตนเองได้เขียนหรือบอกลงบน blog...เพราะความรู้ที่มีอยู่

ในตัวคนไม่สามารถบอกได้เลยว่า...ใครเก่งกว่าใคร...การที่จะดูความโดดเด่น

ของความรู้ สามารถดูได้จากหลายช่องทาง...ซึ่ง blog ก็เป็นช่องทางหนึ่ง

ที่สามารถบอกถึง "Brand" ของตัวเองได้ในอนาคต...

       ซึ่งถ้าหมายถึง "ผลิตภัณฑ์"...สินค้า...เราสามารถบอก Brand หรือ

ยี่ห้อได้ แต่สำหรับคนละ...เราก็น่าจะบ่งบอกได้ว่า...Brand ของคน ๆ นี้

มีลักษณะเป็นเช่นไร?...เหมือนกับคนสมัยก่อนเคยพูดว่า...ถ้าเอ่ยถึงชื่อของ

คน ๆ นี้แล้ว...เราจะทราบหรือรู้ได้ทันทีว่า...คน ๆ นี้เก่งหรือมีความรู้ ความสามารถ

ในเรื่องใด...นี่คือ "Brand" ของคนที่น่าจะสามารถถ่ายทอดออกมาจากตัวคน

สู่โลกภายนอกได้อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม...สมัยก่อนจะเป็นเรื่องของ

การยอมรับกันในตัวบุคคลมากกว่า...แต่สมัยนี้ เมื่อนำเรื่องวุฒิการศึกษาเข้ามาวัดว่า

เมื่อจบการศึกษาระดับสูง ๆ แล้ว ต้องมีความรู้มากกว่าคนที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับสูง

ซึ่งฉันคิดว่า..."ไม่น่าใช่" เสียทีเดียว เพราะมีอะไรลึก ๆ ที่แฝงอยู่ในตัวของคนที่มี

การศึกษาและไม่มีการศึกษา...ไม่สามารถวัดความเก่งของคน ๆ นั้นได้เสียเลยทีเดียว

       Brand สำหรับคนฉันคิดว่าคงได้เกิดได้กับเด็กรุ่น Generation Z สำหรับยุคนี้

คนสำหรับฉัน Generation Baby Boommer ก็อยากเห็นเช่นกันว่า...

เด็กยุค Gen Z จะมี Brand ของตัวเองเป็นเช่นไร? เพราะถ้าอีก ๒๐ ปีข้างหน้า

เทคโนโลยีต่าง ๆ คงพร้อมที่จะให้เด็กยุคนี้ได้แสดงอะไรต่อมิอะไรออกมาด้วย

ตัวของเขาเองได้อย่างเป็นรูปธรรม...นี่คือ "ความคิดนอกกรอบ" ของฉันที่คิด

และมองถึง "คุณลักษณะของคน ๆ หนึ่ง" ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเก่ง

โดยอยู่ในตัวคนค่อนข้างชัดเจนยิ่งขึ้น...สำหรับตัวฉัน ๆ หมายถึง Brand ของคน

ไม่ใช่ Brand ของสินค้า...

 

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึกนี้

บุษยมาศ  แสงเงิน

๑๐ มีนาคม ๒๕๕๗

 

 

หมายเลขบันทึก: 563565เขียนเมื่อ 10 มีนาคม 2014 12:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มีนาคม 2014 12:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

-สวัสดีครับอาจารย์

-ตามมาอ่านบทความนี้

-"การที่ทุกคนมี blog เป็นของ

ตัวเองและได้ถ่ายทอดความรู้ ความสามารถ + ประสบการณ์ต่าง ๆ ลงบน blog

ของแต่ละคนจะเสมือนหนึ่งเป็นการสร้าง "Brand" ของตัวเองว่าตนเอง

มีความรู้ ความสามารถอะไร? โดยเฉพาะประสบการณ์ก็จะเป็นตัวการันต์

บอกถึงความเก่งที่ตนเองได้เขียนหรือบอกลงบน blog...เพราะความรู้ที่มีอยู่

ในตัวคนไม่สามารถบอกได้เลยว่า...ใครเก่งกว่าใคร...การที่จะดูความโดดเด่น

ของความรู้ สามารถดูได้จากหลายช่องทาง...ซึ่ง blog ก็เป็นช่องทางหนึ่ง

ที่สามารถบอกถึง "Brand" ของตัวเองได้ในอนาคต..."

-เป็นแนวคิดที่น่าสนใจและขอนำเอาไปส่งต่อนะครับ

-ขอบคุณครับ...

ยินดีค่ะ คุณเพชรน้ำหนึ่ง เป็นการมองภาพของเรื่อง "คน" ในอนาคต ค่ะ ขอบคุณค่ะ

ขอขอบคุณสำหรับดอกไม้กำลังใจจากทุก ๆ ท่านค่ะ

ได้อ่านความในใจที่ตกผลึกของพี่บุษวันนี้ มันสะท้อนอะไรลึกๆ ในประสบการณ์ชีวิตของคนทำงานมาก..และได้เห็นความตื้นลึกของคนทำงานจริงๆ เมื่อก่อนเคยอ่านเรื่องทั่วๆไป ระยะนี้พี่บุษลงลึกและมีความจริงจังมากขึ้น..นี่คือ คนคร่ำหวอดในชีวิตการทำงานในสังคมคน..

อย่างไรก็ตาม ก็เห็นส่วนความชัดลึกของใจพี่ว่า เป็นคนเข้มแข็ง ความกดดันกับงานและคน พร้อมเอาหลักธรรมเข้ามาบริหารจิตตนได้ และมองเห็นสายงานและกระแสพฤติกรรมคนแต่ละรุ่นได้..

อยู่กับคนไม่พ้นปัญหาสารพัด.. แต่นั่นคือ บททดสอบความเข้มข้นของจิต..รากฐานสำคัญคือ ใจต้องบริสุทธิ์ มีเมตตา ไม่อคติ มีคุณธรรมของผู้ใหญ่คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นฐาน แรกๆ อาจถูกตำหนินินทาบ้าง..เพราะคนอื่นยังไม่ห็นผลใจ .. ซึ่งกระแสเช่นนี้ในสังคมหายาก ที่บุคคลที่ซื่อๆ บริสุทธิ์จริงๆ จะมั่นคงในสังคม ส่วนมากจะกลายเป็นคนอ่อนแอ และจะถูกเอาเปรียบ..และอาจทำให้อ่อนใจหรือท้อแท้ได้..อยู่ที่ว่าเชื่อมั่นในตนเองและคุณธรรมหรือไม่ พระพุทธศาสนาสอนว่า ปารมี มาจาก วิกฤติ ยิ่งเจอวิกฤติ ยิ่งจะเห็นความเสถียรของจิตใจคนนั้นๆว่า มั่นคง แน่วแน่ แค่ไหน

พระพุทธองค์ก็ถูกด่า ถูกท้าทาย ถูกกล่าวหาต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่หวั่น..ปัจจุบัน เราอาจไม่เชื่อมั่นในศาสนาแล้วจึงไม่เชื่อ หันไปเชื่อโลกหรือกระแสสังคม จึงทำให้ใจเราไหวหวั่นไปตามกระแสและอ่อนแอไปตาม

สังคมยุคใหม่ยิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ เน้นปัจเจกบุคคล เน้นเสรีภาพ เน้นวัตถุ ฯ เพื่อการอยู่รอด จึงทำให้คนต้องอวดตัวแสดงตัวออกมาให้โดเด่น เพื่อประโยชน์ตน..เช่น มีเฟสบุ๊กเป็นส่วนตัว มีสมาร์ตโฟนส่วนตัว มีบล๊อก มีไลน์ มีเพจ มีเวบไซต์ ฯลฯ แต่ผมสังเกตเห็นก็เป็นไปในรูปแบบระบาย โต้แย้ง ด่า ตำหนิ อวดโชว์ หรือโฆษณาหาเงินฯ มากกว่า บางทีเรื่องเล็กน้อยๆ ที่ไม่มีสาระ ก็ยังสื่อออกมา.. จะหาประเภทว่า เขียนเรื่องจริงที่เป็นประโยชน์ เป็นสาระ เตือนภัย ให้กำลังใจ ให้ข้อคิด ฯ นั่นยาก แต่ก็นั่นแหละครับ โลกแห่งเสรี ผู้คนจึงใช้โลก ไอที จนไม่รู้จะใส่สาระอะไรลงไป เพราะตัวเองก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่า ความรู้สึกหรือารมณ์ ชอบ ไม่ชอบ เท่านั้นจึงสื่อไปเช่นนั้น

มันเป็นช่องทางระบายจริงๆ ..แต่ก็ยอมรับนะครับว่า สื่อเหล่านั้นเป็นช่องทางหรือโอกาสอย่างที่พี่พูดจริงที่ว่า เป็นช่องทางฝึกฝนศักยภาพของตนในเรื่องการสื่อสารทางอักษร.. จะให้ดีควรพัฒนาการเขียนให้ดียิ่งขึ้น.. แม้แต่ที่นี่ (go2know) เองก็เห็นเป็นแค่ระบายอารมณ์ตนอยู่มากมาย บางทีเขียนอะไรก็ไม่รู้เนอะ (รวมเราด้วย?)..555 (วิจารณ์บ้างเถอะ)

มองพี่ดาพอจะมี Brad บ้างหรือยังค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

พิมพ์ไม่ครบค่ะ... Brand ...และ คนหนึ่งก็มีหลาย Brand ด้วยได้ใช่ไหมค่ะ เหมือนสินค้า

ขอบคุณค่ะ คุณ ส. การทำงานใดไม่หนักเท่าทำงานกับคน โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของคน โดนเข้าเต็ม ๆ...จึงเลยต้องอาศัย "หลักธรรม" เข้ามาช่วยบริหารจัดการ จะทำให้จิตของเราสงบลงได้บ้าง...ยิ่งการทำงานยุคปัจจุบันการพูดถึงคุณธรรมน้อยมาก แม้แต่แบบประเมินผลการปฏิบัติงานก็จะเน้นแต่เรื่อง "ผลงาน" เป็นหลัก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะได้ผลมากน้อยเพียงใด...และไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องคุณธรรมหรือวัดกันในยุคนี้...จึงทำให้คนส่วนใหญ่มีความคิดแบบแปลก ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ...อาจถูกเก็บกดมาจากครั้งกระโน้นเน๊าะ!!!...การทำงานยุคนี้เหนื่อยมาก ๆ กับเรื่องการบริหารคน...สำหรับเรื่อง Brand ของคนนั้น ณ ปัจจุบันพี่เห็นว่ามันคือ Blog หรือ FB แต่ Blog ก็ดีหน่อยเพราะเป็นเรื่องวิชาการมานิดหนึ่ง จะเขียนจะเล่าเรื่องใด พี่ว่า น่าใช่เพราะการเขียน Blog กว้างมาก รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่ว่า เรื่องการทำงาน การดำเนินชีวิต ข้อคิดในการที่อีกคนได้กระทำและเกิดผล เพราะสิ่งเหล่านี้จรรโลงให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข...

ส่วนใน FB เท่าที่พี่เห็น และก็บางครั้งยอมเสียมารยาทเพื่อลบออกจากการเป็นเพื่อนไปเลยก็มี...พี่จะเก็บเฉพาะ "ข้อคิด" ที่เตือนสติเราและเพื่อน ๆ นักบริหารด้วยกันเท่านั้น...บางทีก็มีแต่เรื่องไร้สาระในเรื่องเสียดสีด้วยคำพูด ด่าทอกัน ใช้คำพูดที่พี่คิดว่าไม่ใช่ในการเผยแพร่...แต่ในความคิดของพี่ ใน FB จริง ๆ แล้วเขาก็มีจุดหมายที่ดีเป็นที่รวมศูนย์...แต่คนใช้ ลืมไปว่า...การเขียนออกไปมันคือ ออกไปสู่สาธารณชน..."อันตราย"...ยิ่งบางบริษัทการรับคนเข้าทำงาน เขาจะขอดูข้อมูลเรื่องบุคคลของคน ๆ นั้นจาก FB ด้วยค่ะ...น่าจะเป็นที่มาของการเริ่มใช้ "Brand" ของคนด้วยมังค่ะ...ว่าแต่ว่า...บางครั้ง บางคราวเราเขียนแต่วิชาการมากไปก็เครียดเหมือนกัน...มีบ้างก็เขียนเรื่องที่บางคนคิดว่า "เรื่องไม่เป็นเรื่อง" เราหรือคนอื่นที่อ่านอาจคิดเช่นนั้น...แต่บางครั้งเรื่องแบบว่า...ก็มีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้นะ จริงไหมค่ะ คริ ๆ ๆ...

ขอบคุณค่ะ พี่ดา ของพี่ดา มี Brand ของตัวเองมากมายเลยค่ะ...แบบที่พี่ดาเขียนนี่แหล่ะค่ะ ที่เขาถือว่า คือ ถ้าพูดถึงพี่ดาแล้ว ก็จะสามารถมองเห็นเป็นเรื่องการเขียนของพี่ดาจริง ๆ เลยละค่ะ...ที่ถ่ายทอดออกมาแต่ละเรื่อง

มีประโยชน์ทั้งนั้นค่ะ..."Brand 's กานดา"...ค่ะ...คริ ๆ ๆ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท