วันที่หนึ่งของสัปดาห์ที่ 8
ล่วงเลยมาเกือบ 3 สัปดาห์ กับการขี้เกียจ ตามใจกิเลส ไม่ยอมเขียน
รู้ทั้งรู้ว่า ไม่เขียนแล้วจิตจะมั่ว ข้างในจะหมอง แต่มันก็ตามใจ
เพราะมันตกเป็นทาสของกิเลส
ไม่หมองอับจนถึงที่สุด ก็ไม่รักษาสติ ไม่วิ่ง ไม่สวดมนต์
ทั้ง ๆ ที่ที่ผ่านมา ตุ๊บปักตุ๊บเป๋
วันศุกร์ นี่เป็นวันพระด้วยเป็นอะไรที่ เยอะเรื่อง
แต่ตั้งใจจะตั้งต้นทำยา ทำของขาย
แต่บ้านรกมาก เรื่องเอกสารที่ทางบ้านมาก็ไม่เรียบร้อย
เสียเวลาหาบัตรอยู่ตั้งนาน ยื่นเรื่องยืมเงิน กลายเป็นว่า ลืมเอกสารไปหนึ่งแผ่น
ยื่นเรื่องไปราชการไม่ครบวัน
มันทุกอย่างเลยที่ไม่เรียบร้อย
ก็เป็นผลกรรม นั่งทบทวนกับตนเองเรื่อง “งานบุญ”
รับฟังมุมมองจากหลวงพี่ ท่านให้ข้อคิดหลายเรื่องให้นำมาปรับปรุง
พอตกเย็นมาวัด
ได้คุยกับเด็กๆ ที่หาข้ออ้าง ก็เหมือนได้เห็นตนเอง
คำพูดที่เขาใช้อ้าง เป็นคำพูดที่เคยออกจากปากหนูเอง
ออกจากใจหนูเช่นกัน
ได้แต่มีเสียงว่า ทำยังไง ๆ รายงานครูเป็นระยะ ๆ
ครูเมตตาช่วยให้แนวทาง ชี้ทางว่านี่คือ “โจทย์ของจริง ปล่อยไปเขาก็รับผล”
หนูรู้สึกว่า หนูแก้ยาก ไม่อยากให้เด็กมาตกที่นั่งเดียวกัน
จาก 3 มา 2 ก็พอได้ ครูทำงานตลอดทุกวัน
ออกจากงานช่วยคนบุญใหญ่ก็ต้องมาช่วยพยุงใจหนู ดึงให้มีสติ รักษาข้อวัตร
พยุง ใจเด็ก ๆ
ครูชี้ให้ดูจิตที่มันไร้สติกับ มีสติ ของตนเอง
การทำงานผลออกมาแตกต่างกันมาก ๆ
ตั้งใจตั้งต้นใหม่ กับวันที่หนึ่งของสัปดาห์ที่ 8
เมื่อทางนี้ลึก ๆ นั้นเชื่อว่า “เป็นทางที่ต้องเดิน”
มีเพียงกิเลสเท่านั้นที่คอยรั้งให้หยุดเดินหรือเลิกไป
ตราบเท่าลมหายใจยังมี
ก็หมายถึงว่า “จงลุก จนกว่าจะไม่ล้ม”
บันทึกนี้ ให้ข้อคิดที่จะนำเอามาปรับปรุงตนเองดีจังค่ะ