เท่าที่จำได้ ผมไม่ได้ป่วยเป็นไข้หนัก ๆ มาหลายปีแล้ว
แต่ปีนี้เจอดีจนได้ครับ เริ่มมีอาการมาตั้งแต่คืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557
และก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดต้องล้มหมอนนอนเสื่อ
และเริ่มหายดีเป็นปกติเมื่อไม่กี่วันนี่เองครับ
ระหว่างที่ร่างกายอ่อนแอเพราะพิษไข้นั้น
ผมสังเกตุว่า จิตใจก็อ่อนแอตามไปด้วย
ตอนหายป่วยใหม่ ๆ นั้น มีเหตุให้ต้องซ่อมท่อปะปาที่ชำรุด
ท่อปะปาที่บ้านสวนนั้น ผมเป็นคนเดินเองทั้งหมด เมื่อหลายปีก่อน
นั่นหมายความว่า การซ่อมท่อปะปาเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับผม
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ผมใช้เวลาซ่อมนานมาก
เริ่มตั้งแต่การคำนวณความยาวที่ผิดพลาด ทำให้ต้องเลื่อยตัดหลายครั้ง
ตอนเลื่อยท่อปะปานั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งวิงเวียน และหมดแรง
แต่ก็ยังยิ้มได้เพราะทำให้ "ซ้อมแก่" ทำให้ผมเห็นความเป็นจริงของกายสังขาร หนอ
กลับมาที่ประเด็นของบันทึกนี้ครับ
ผมต้องการสื่อให้เห็นว่า ตอนเป็นไข้นั้น ร่างกายจะมีประสิทธิภาพลดลง
จิตใจเองก็เช่นเดียวกัน แม้ผมจะพยายาม "ภาวนา" อย่างไรก็ตาม
แต่ก็จะรู้สึกสัมผัสได้ว่า ไม่เต็มที่เหมือนตอนที่ร่างกายปกติ ไม่เป็นไข้
นั่นหมายความว่า ใจเองก็ถูกพิษไข้เข้าเล่นงานเหมือนกัน หนอ
อาจเพราะไม่ได้ป่วยหนักมาเป็นเวลาหลายปี และอาจเพราะผมแก่ตัวลงก็เป็นได้
ผมสังเกตุว่า ผมหมดแรง และฟื้นไข้ช้ามาก ๆ
เมื่อวานนี้ ผมตัดสินใจตัดผม สระผม พร้อมกับดืมน้ำเย็น
เพื่อทดสอบร่างกายว่า หายจากการเป็นไข้ 100% หรือยัง
ผมออกมาเป็นไปตามคาดครับ คือ ผมหายจากการเป็นไข้แล้วแน่นอน
แต่อากการหมดแรง ฟื้นตัวช้านั้น น่าจะเพราะปีนี้แก่ตัวลงมาก นั้นเองหนอ 555
เย็นวันนี้ผมตัดสินใจออกไปถือจอบ ทำสวน ซ่อมบ้าน และลดน้ำต้นไม้
เพื่อบุกออกกำลังกายให้หนักยิ่งขึ้น
ส่วนด้านกำลังใจนั้น
คืนนี้ก่อนนอน ไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ผมตัดสินใจนั่งสมาธิบุกหนักทางใจกว่าเดิม
เป็นเรื่องจนได้ครับ
จิตได้รวมลงเป็นสมาธิ กลับสู่สภาวะแห่งความสงบจาก "ความคิด"
ซึ่งเป็นสภาวะสูงสุดก่อนป่วย นั่นเอง
แต่ระหว่างที่กายสังขารป่วยนั้น ภาวนาอย่างไรก็ไม่มีกำลัง ไม่สามารถเข้าสู่ความสงบในระดับนี้ได้เลย หนอ
ผมจึงตัดสินใจพิจารณา สภาวะก่อนป่วย ระหว่างป่วย และคืนนี้
ทำให้ระลึกถึง คำว่า "น้ำ กลิ้ง บน ใบ บัว" หนอ
จะได้ขยายความในบันทึกต่อไปครับ
ไม่มีความเห็น