การมี "อคติ" ก็คือ การยึดมั่น ถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่ง จัดว่าเป็นความงมงายทางด้านความคิด หรือจะเรียกว่า “โง่เขลา” ทางสติปัญญาก็ได้
เพราะว่าปัจจุบันนี้ คนไทยส่วนหนึ่งในสังคมเราจะพูด หรือเขียนอะไรสักอย่าง มักจะมีพื้นฐานมาจาก “อคติ” โดยรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ซึ่งเหตุผลที่ให้มานั้น ดูเหมือนจะมีหลักการ จุดยืนแนวคิดเหมือนกัน แต่เมื่อนั่งทบทวนวิเคราะห์ลึกๆ อย่างรอบคอบทุกด้านแล้ว กลับไม่มี หรือไม่ปรากฏเหตุผลที่ชัดเจน
ทำไมถึงไม่มีเหตุผลหรือ?
ตัวอย่าง ถ้าเราจะโต้แย้งกับคนอื่นโดยใช้เหตุผลแต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องเชื่อแบบนี้ แบบนั้นผิดโดยสิ้นเชิง แบบนี้ต่างหากล่ะที่ถูก นั่นเรียกว่า “งมงาย” ในด้านความคิดแล้ว
แบบนี้ไม่มีทางเรียกว่า “เหตุผล” ได้เลย เพราะว่าต่อให้อีกฝ่ายนึงให้ความคิดเห็นและเหตุผลดีมากขนาดไหน คุณเองก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว และปิดรับความคิดเห็นอื่นๆ คุณเพียงแค่อยากให้เขาตอบหรือให้ความเห็นเหมือนคุณ นั่นคือ การยึดติด ยึดติดที่เกี่ยวพันกับความอคติไงล่ะครับ
ความรู้สึกที่มี “อคติ” เริ่มมีมากในสังคมไทยในยุคปัจจุบัน คนมักจะทึกทักเอาเองตลอดว่าตัวเองกำลังใช้เหตุผล แต่กลับไม่เอะใจคิดดูเลยว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั่นคือการมีอคติ
การปิดกั้นทางความรู้ คือการงมงายและหลงกับความคิดเห็นของตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางทางความคิด
นี่แหละปัญหาทางสังคมที่เหมือนเป็นมะเร็งร้ายในยุคปัจจุบัน เพราะยุคปัจจุบันนั้นจริงๆแล้วมีแต่การที่ต้องใช้เหตุผลในการพูดและให้ความเห็น เพราะเราสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย
แต่ถ้าตราบใดที่เรายังยึดติดไม่ยอมรับเหตุผลหรือความคิดเห็นอื่นๆ อคติกับความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้าม นั่นจะทำให้เรากลายเป็นคนไร้เหตุผลโดยปริยาย
ดูอย่างความแตกแยกในสังคมตอนนี้สิครับ "เรื่องการเมือง"
ผมเองจริงๆไม่อยากพูดเรื่องการเมืองเลยด้วยซ้ำเพราะอะไรนั้นหรือ เพราะมันจะสร้างความแตกแยกไงล่ะครับ เพราะคนเรามีอคติอยู่กับฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตัวเองจะพูดอะไร จะเขียนอะไร จะบอกจริงหรือเท็จ ฝ่ายตัวเองถูกเสมอ ฝ่ายตรงข้ามจะพูดอะไร จะให้ความเห็นอะไร ฝ่ายตรงข้ามต้องผิดเสมอ นี่เป็นสัจธรรมของสังคมไทยในปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น คุณควรรับข่าวสารทั้งสองฝั่ง หรือข่าวจากสองสำนักขึ้นไปที่ขัดแย้งกัน แล้วเอามาประมวลหาข้อเท็จจริงโดยสติปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ยังประมวลโดยความอคติของตัวเอง เพราะนั่นไม่มีความหมายเลยที่คุณพูดว่ารับฟัง ทั้งๆที่มีคำตอบในใจอยู่แล้ว
ขอให้ทุกท่านโชคดี ในยุคสงครามความคิด ความรู้สึกของ “คนดี” และ “ชนชั้น” นะครับ
ไม่มีความเห็น