The Impossible : แสงของดาวบางดวง




1.

หลังภาพยนตร์จบลง ผมต้องถามตัวเองว่า ทำไมถึงเสียน้ำตากับเรื่องราวที่เพิ่งได้รับชม

อาจเป็นไปได้ว่า เรื่องราวในภาพยนตร์เกิดขึ้นที่เมืองไทย หรือเป็นไปได้ว่า เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ตัวละครมีชีวิตจิตใจในโลกความจริง รวมทั้งอาจเป็นไปได้อีกว่า ผมยังไม่ลืมภาพเหล่านี้ แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมาได้หลายปี และเกิดขึ้นห่างไกลจากตัวเอง หากแต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่รับรู้ชะตากรรมของกันและกัน รู้สึกรู้สากับเรื่องราวที่ได้รับรู้จากสื่อต่างๆ ก็ย่อมเกิดแรงสั่นไหวขึ้นในใจไม่มากก็น้อย เมื่อได้ย้อนกลับไปนึกถึง

ก็คงเหมือนกับคนญี่ปุ่นไม่มีทางลืมเหตุการณ์ระเบิดที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ
ชาวอเมริกายากที่จะทำใจยอมรับกับเหตุการณ์เมื่อ 11 กันยายน พ.ศ.2544

เสียงร้องไห้ เสียงคร่ำครวญ การสูญเสีย น้ำตาแห่งการจากพราก ภาพจำเหล่านี้ แม้เราไม่ต้องการจะเปิดรับ แต่มันก็แฝงฝังแน่นตรึงในใจเราอย่างไม่รู้ตัว

มันก็คงคลับคล้ายกับคนอกหัก เราไม่มีทางลืมวันที่เดินจากคนรักออกมา
ถ้อยคำบางถ้อยคำ แม้ไม่ได้ท่อง แต่ก็เหมือนจำได้ชัดถ้อย

อาจเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์โศกเศร้า บางคราวฉายชัดกว่าเหตุการณ์แสนสุข

ภาพของคลื่นที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงรุนแรง ม้วนเกลียวสูงราวกับจะกวาดล้างทุกสิ่ง พาผู้คนจมหายไปใต้น้ำ บ้านเรือนเพพัง ยากที่จะต้านอยู่ การพลัดพรากเกิดขึ้นในวินาทีนั้น ภาพพ่อจับมือลูก มั่นใจว่าแน่นเหนียวเอาอยู่ แต่ความโหดร้ายไม่ปรานีของสายน้ำก็กลืนอีกร่างให้ลับหายไปต่อหน้า ซ้าย ขวา หน้า หลัง คนรักกับคนรักร้องเรียกกันขณะที่อีกฝ่ายลอยห่างออกไปอย่างช้าๆ เพื่อนกับเพื่อนยังไม่ทันที่จะพิสูจน์ความจริงใจ อีกฝ่ายหายไปอยู่อีกโลก เหมือนไม่ใช่ความจริง คล้ายความฝัน การหายไปของใครหลายคนภายใต้สายน้ำที่ไร้บทสนทนา ยากที่จะเรียนรู้และเข้าใจ

ปลายปี 2547 เสียงร่ำไห้จึงระงมไปทั่วบริเวณ แข่งกับเสียงพลุต้อนรับปีใหม่ เหมือนกรีดแทงลึกลงไปในหัวใจ ใครบางคนสัญญากันว่าจะก้าวข้ามปีเก่าด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน ตั้งใจทำสิ่งดีๆ ร่วมกันในวันข้างหน้า แต่ความฝันกลับพังครืน สายน้ำพรากเอาทุกสิ่งทุกอย่าง

ที่ชายหาดริมทะเลวันนั้นจึงว่างเปล่าเงียบเหงา บ้านเรือนปรักหักพัง เหมือนไม่ใช่บ้าน สิ่งของต่างๆ กลาดเกลื่อนระเนระนาด ยินแต่เสียงลมพัดใบไม้ดังแผ่วหวิว เสียงคลื่นกระทบฝั่งยังเช่นเดิม เพียงแต่ใครบางคนหายไปจากชีวิต



2.

เด็กชายแหงนมองดาว น้องชายนอนหลับบนตัก เขาลูบหัวน้องชายอย่างทะนุถนอม หญิงชราเข้ามานั่งด้วย ทั้งหญิงชราและเด็กชายต่างเป็นผู้พลัดพรากจากคนรัก พวกเขาสนทนากันถึงเรื่องของดวงดาว

การมองดวงดาวเป็นการมองอดีต อันที่จริง ดาวแต่ละดวงดับไปนานแล้ว เพียงแต่แสงยังส่งมาถึงโลก และเราบอกไม่ได้ว่า ดาวดวงใดดับก่อนดับหลัง

เด็กชายชอบมองดาว ในอีกนัยยะ ดวงดาวอาจหมายถึงพ่อและแม่ เด็กชายเพิ่งพลัดพรากจากพ่อ เพราะพ่อสัญญาจะตามหาแม่และพี่ชายคนโต ดวงดาวจึงเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง คือแสงอันริบหรี่ คือความสว่างที่มองเห็นได้ในยามค่ำคืน

พ่อบอกว่า หากพบพี่ชายและแม่แล้วจะเดินทางมาหาเขาทันที เพราะฉะนั้นเขาต้องดูแลน้องชายให้ดีที่สุด ประหนึ่งว่าน้องคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เด็กชายไม่รู้ว่า เรื่องราวเหล่านี้คืออะไร ไม่รู้สาเหตุ ปะติดปะต่อภาพต่างๆ ไม่ได้ เขารู้เพียงว่า ขณะที่ครอบครัวกำลังสนุกสนานอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มองเห็นคลื่นลูกใหญ่โหมมาจากทะเล เขาและน้องถูกสายน้ำพัดพา สั่นกลัว เกาะอยู่บนต้นไม้

ทำได้แต่เฝ้ารอให้ดวงดาวทั้งสองเดินทางมาช่วย

สุดท้าย เป็นดวงดาวชื่อว่าพ่อ ที่เข้ามาโอบกอด ปลอบโยน

ขณะฟังหญิงชราเล่า เด็กชายนิ่งเงียบ เขาคงคิดว่า การดับของดาวดวงใดดวงหนึ่งนั้นไม่สำคัญอันใดเลย ตราบที่เขายังมองเห็นแสงของมันอยู่

พ่อออกตามหาลูกชายคนโตและคนรัก

เด็กชายทั้งสองเฝ้ารอที่จะให้พ่อมาหา
แม่นอนซมในสถานพยาบาล ส่วนลูกชายคนโต พยายามออกตามหาทุกคน

พวกเขาออกตามหาดวงดาวของตัวเอง

ภาพความสูญเสียและหยาดหยดน้ำตายิ่งฉายชัดผ่านมุมมองของเด็กชาย ผู้คนร้องเจ็บปวดขอความช่วยเหลือ หมอและพยาบาลวิ่งกันวุ่น กุลีกุจอรักษาผู้บาดเจ็บ

ในอีกแง่มุม เราได้เห็นภาพของการแบ่งปัน การแชร์เรื่องราวเล่าสู่กันฟัง อย่างน้อยก็ได้ผ่อนคลาย ทุกคนจากหลากหลายมุมโลกเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน เพียงรอยยิ้มที่ปรากฏก็เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่

“จริงๆ ผมว่าจะเก็บแบตโทรศัพท์ไว้ติดต่อกับทางบ้าน แต่คุณจำเป็นต้องใช้มัน” ว่าจบเพื่อนร่วมชะตากรรมก็ยื่นโทรศัพท์ให้ผู้เป็นพ่อ

ภาพยนตร์เป็นเรื่องจริงของครอบครัวที่เดินทางมาพักผ่อนที่เมืองไทย ตัวละครทั้ง 5 คนที่รอดจากเหตุการณ์นี้ยังมีชีวิตอยู่พร้อมกับความทรงจำที่ยังโลดแล่นเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา

เรื่องราวทั้งหมดคงไม่ได้ต้องการตอกย้ำหรือผลิตซ้ำความสูญเสียของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะท่วงทำนองของเรื่องเล่าที่ถูกแสดงออกมานั้น ได้สื่อให้เห็นถึงความรัก ความผูกพันของครอบครัว ที่ก้าวผ่านโศกนาฏกรรมมาได้ และพร้อมที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ชีวิตทุกชีวิตล้วนสำคัญต่อกันและกัน ลูกเป็นโลกอีกใบของพ่อ แม่เป็นดาวอีกดวงของลูก เราล้วนเป็นคนสำคัญต่อใครคนใดคนหนึ่งเสมอ ทำให้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยขวากหนามอุปสรรคนานัปการ ตัวเราเองแม้ไม่ได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่ผู้อื่นก็อาจสร้างขึ้นมาได้ รวมไปถึงธรรมชาติที่มักบันดาลเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้แทบทุกเวลา ชีวิตเป็นเรื่องที่แสนเปราะบาง ความไม่แน่นอน

คำถามคือว่า เราได้รักใครสักคนอย่างเต็มที่หรือยัง ดูแลใครสักคนอย่างดีแล้วหรือยัง

ภาพที่พ่อโผเข้าหาลูกชาย พี่สวมกอดน้อง น้องซุกอยู่ในอ้อมกอดของพี่ ทั้งหมดกอดกันแน่นราวกับว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสูญหายไปอีก ภาพเหล่านี้ได้บอกและย้ำเตือนถึงความรัก ความเข้าใจ ความผูกพัน อันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต

ผมมองภาพพ่อและลูกกอดกัน ผ่านความพร่าเลือนของหน่วยน้ำในดวงตา.

......................
8 พฤษภาคม 2556
ป.ล.บทความนี้ตีพิมพ์ที่
นิตยสารปล่อย Release E - Magazine
Vol.2 June 2013

หมายเลขบันทึก: 556142เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2013 09:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 ธันวาคม 2013 15:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท