มุมมองเรื่อง “รัฐ” ตามแนวพุทธ
รัฐ (State) มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ประเทศ และ ชาติ เพราะคำทั้ง ๓ นี้มีความหมายที่มีจุดร่วมกันแต่ในขณะเดียวกันก็มีจุดที่แตกต่างกัน ความสำคัญของคำว่า “ประเทศ” เน้นอยู่ที่ดินแดนและสภาพภูมิศาสตร์ ส่วนคำว่า “ชาติ” เน้นอยู่ที่ประชาชน ความรู้สึกนึกคิดและผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน ส่วนคำว่า “รัฐ” ได้มีผู้ให้คำอธิบายความหมายไว้แตกต่างกันออกไป เช่น J.W. Garner ได้ให้ความหมายไว้ว่า รัฐ คือ ชุมชนของมนุษย์ที่มีบุคคลจำนวนมาก ซึ่งได้ทำการครอบครองดินแดนแห่งหนึ่งเป็นการถาวร แน่นอน เป็นเอกราช ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมจากภายนอก “มีรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเคารพและยอมรับ”[๑] แมกซ์ เวเบอร์ ( Max Waber) อธิบายว่า
รัฐในสมัยปัจจุบัน คือ ที่รวมของอำนาจในด้านต่าง ๆ ในรูปของสถาบันเพื่อผูกขาดการใช้กำลังโดยธรรม ซึ่งเป็นวิธีการครอบงำภายในดินแดนที่มีอาณาเขตแน่นอน บรรดาผู้นำจึงได้รวบเอาเครื่องมือการบริหารไว้ในมือเพื่อใช้ให้บรรลุจุดหมายนี้[๒]
จรูญ สุภาพ ได้อธิบายความหมายของรัฐว่า
รัฐ คือ ชุมชนที่มีอำนาจอธิปไตย มีอิสรภาพ มีความสามารถที่จะแก้ไขข้อบกพร่องและอำนาจบังคับบัญชาภายในรัฐได้ รวมทั้งมีอำนาจที่จะต่อต้านอำนาจภายนอกที่เข้ามาก้าวก่ายในกิจการภายในของรัฐ รัฐควรจะมีบทบาทในการให้ความยุติธรรม ในการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประชาชน การป้องกันชุมชนให้พ้นจากการกระทำที่รุนแรง และเพิ่มพูนเสริมสร้างสวัสดิสาธารณะ[๓]
พอที่จะสรุปความหมายของรัฐได้ว่า “รัฐคือชุมชนแห่งมนุษย์ ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในดินแดนที่มีอาณาเขตที่แน่นอน ภายใต้อธิปไตยอันเป็นอิสระ มีการปกครองเป็นระเบียบ เพื่อสวัสดิภาพของชนในสังคม”[๔] จากความหมายนี้เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับในทางพุทธจักร หรือหากมองในมุมมองของพุทธศาสนา เป็นการศึกษาแบบประยุกต์ หากนำแนวคิดทางรัฐศาสตร์มาเปรียบเทียบ ก็อาจจะทำให้มองเห็นว่า “พุทธจักร” เปรียบได้กับรัฐ ๆ หนึ่งนั่นเอง เพราะพระพุทธเจ้าทรงนำเอารัฐในอุดมคติมาก่อตั้งเป็นรูปธรรมขึ้น โดยมีสังคมสงฆ์เป็นชุมชนตัวอย่าง
คำว่า “รัฐ” ตรงกับภาษาบาลีว่า รฏฺฐ แปลว่า ประเทศ หรือ แว่นแคว้น[๕] ส่วนมากแล้วในพระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมักจะใช้คำว่า “แคว้น” มากกว่าคำว่า รัฐ แต่คำว่ารัฐก็มีใช้เหมือนกัน เช่นคำว่า มคธรัฐ[๖] เป็นต้น นอกจากศัพท์ว่าแคว้นแล้ว ศัพท์อื่น ๆ ที่ใช้ในความหมายว่า รัฐ ที่ใช้ในพระไตรปิฏกยังมีอีกหลายคำ เช่น มหาชนบท ราชธานี มหานคร พระนคร เมือง เป็นต้น หากจะลองวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดเรื่องรัฐในแนวพุทธกับแนวคิดทางรัฐศาสตร์ พอจะเปรียบเทียบได้ดังนี้
๒.๑ องค์ประกอบของรัฐ : องค์ประกอบของพุทธจักร
“แนวความคิดเกี่ยวกับความหมายของรัฐยังหาข้อยุติยังไม่ได้ ทั้งนี้เพราะมีผู้ให้คำนิยามมากมายว่า รัฐนั้นควรจะหมายความว่าอย่างไร ความยุ่งยากสับสนมาจากแนวหรือวิธีการคิดของนักคิดต่าง ๆ”[๗] แต่จากคำนิยามความหมายต่าง ๆ ทำให้สามารถแบ่งองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐออกได้เป็น ๔ ประการ คือ ประชาชน ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย ซึ่งองค์ประกอบทั้งสี่นี้ เมื่อนำองค์ประกอบของพุทธจักรมาศึกษาเปรียบเทียบแล้ว จะเห็นได้ว่ามีส่วนที่คล้ายคลึงกันอย่างมากทีเดียว อย่างที่กล่าวแล้วว่า พุทธจักร คือ รัฐในอุดมคติที่พระพุทธเจ้าทรงก่อตั้งให้เป็นรูปธรรมขึ้น เป็นรัฐที่มีลักษณะพิเศษ มีเป้าหมาย นโยบาย และหลักการที่แตกต่างจากรัฐทั่ว ๆ ไป องค์ประกอบทั้งสี่นั้นจะได้พิจารณาในรายละเอียดต่อไป
๑) ประชาชน (Population) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรัฐ เพราะประชาชนเป็นผู้สร้างวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี และแบบแผนการบริหารการปกครองของรัฐ ประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้รัฐเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรมได้ สิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับประชาชน คือ จำนวน เชื้อชาติและวัฒนธรรม ประเภทและชนชั้น ที่สำคัญคือคุณภาพของประชากร ในทางพุทธจักรประชาชนก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่สุดเหมือนกัน เพราะถ้าไม่มีประชากรพุทธจักรก็กำเนิดขึ้นมาไม่ได้ ประชากรในทางพุทธจักรเรียกว่า “บริษัท ๔”[๘] ประกอบไปด้วย
- ภิกษุบริษัท คือ บุรุษที่ออกบวชเป็นพระภิกษุ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและสอนให้ผู้อื่นปฏิบัติตามด้วย พระภิกษุในยุคแรก ๆ ของพุทธกาลนั้น จะเป็นภิกษุได้ก็ด้วยพระดำรัสของพระพุทธเจ้าว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด”[๙] ต่อมาเมื่อมีผู้ขอบวชมากขึ้น พระพุทธองค์จึงทรงประทานอนุญาตให้คณะสงฆ์ทำการบวชให้แทน ซึ่งการรับประชากรเข้าหมู่โดยวิธีที่พระพุทธองค์ทรงรับเองนั้นเรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” การที่คณะสงฆ์เป็นผู้ทำการคัดเลือกและรับเข้าหมู่นั้นเรียกว่า “ญัตติจตุถกรรมอุปสัมปทา”
- ภิกษุณีบริษัท คือสตรีที่มีศรัทธาออกบวชเป็นพระภิกษุณีหรือนักบวชที่เป็นสตรี ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากภิกษุบริษัทนานพอสมควร คือ ประมาณตอนต้นมัชฌิมโพธิกาล โดยมีพระนางปชาบดีโคตมีเป็นพระภิกษุณีรูปแรก
- อุบาสกบริษัท คือ ฆราวาสผู้ชายที่นับถือพระพุทธศาสนา และปฏิบัติตนตามหลักศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถ เป็นผู้ที่เข้าใกล้พระรัตนตรัย
- อุบาสิกาบริษัท คือ สตรีที่เป็นฆราวาสและปฏิญาณตัวเป็นพุทธศาสนิกชน มีคุณสมบัติคือการปฏิบัติตามหลักศีลธรรมเหมือนกับอุบาสก
นอกจากบริษัทสี่แล้วยังมีสามเณรและสามเณรีอีกด้วย พุทธจักรจะเจริญหรือจะเสื่อมโทรม ก็ขึ้นอยู่กับบริษัททั้งสี่นี้เป็นสำคัญ เช่นเดียวกับความเจริญหรือความเสื่อมของรัฐที่ประชากรเป็นตัวแปรสำคัญ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ศาสนาของตถาคตจะเจริญหรือเสื่อมย่อมขึ้นอยู่กับพุทธบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา”[๑๐] ประชากรในพุทธจักรนั้นไม่ว่าจะมาจากชนชั้นวรรณะเชื้อชาติเพศผิวพรรณที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ทุกคนมีสิทธิในการบรรลุธรรมได้อย่างเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับการบำเพ็ญบารมีของแต่ละบุคคลเองว่าจะถึงระดับใด และเมื่อปฏิบัติถึงขั้นสูงสุดก็ย่อมได้รับความสุขจากวิมุตติรสเท่าเทียมกัน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เสมือนเช่นน้ำ ไม่ว่าจะไหลมาจากแม่น้ำคงคา ไม่ว่าจะไหลมาจากแม่น้ำยมุนา หรือไม่ว่าจะไหลมาจากลำธารใด ๆ ก็ย่อมเป็นทะเลฉันนั้น”[๑๑]
๒) อาณาเขตหรือดินแดน (Territory) การที่รัฐจะจัดตั้งสังคมของตนขึ้นเป็นรัฐได้นั้น นอกจากจะมีประชากรแล้วยังจะต้องสามารถครอบครองดินแดนถิ่นที่อยู่เป็นของตนอย่างเป็นหลักแหล่ง มีอาณาเขตที่แน่นอน และเป็นที่ยอมรับของรัฐอื่น ๆ ว่ามีรัฐนั้นๆ อยู่จริงไม่โดยทางพฤตินัยก็โดยทางนิตินัย หรือทั้งสองอย่าง ทางพุทธจักรก็มีสังฆมลฑลซึ่งอยู่ภายในรัฐ เป็นดินแดนที่ได้รับอนุญาตหรือได้รับพระราชทานจากพระราชาให้เป็นสถานที่อยู่จำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรียกว่าวัดหรืออาราม มีขอบเขตที่แน่นอนเป็นที่ยอมรับกันทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย โดยเฉพาะในประเทศไทย วัด หรือ พุทธสถาน เป็นดินแดนที่จัดเป็นเอกเทศจากฝ่ายอาณาจักร เป็นศาสนสมบัติไม่ต้องเสียภาษีถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่ภายในรัฐก็ตาม
๓) รัฐบาล (Government) คือ องค์กรหรือหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่ปกครองและบริหารกิจการภายในรัฐ เพื่อจัดระเบียบและดำเนินการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนรวม เป็นองค์กรสำคัญที่ทำให้รัฐดำเนินไปในทิศทางใด เป็นผู้กำหนดนโยบายและวางแนวทางให้กับรัฐ รวมทั้งเป็นตัวแทนของรัฐในการติดต่อกับรัฐอื่น ๆ รัฐบาลเป็นสถาบันหลักทางการเมือง มีหน้าที่หลักในการสร้างและรักษากฎหมายเพื่อความยุติธรรมและความสงบสุขของบ้านเมือง ส่วนในทางพุทธจักรก็มีองค์กรบริหารหรือองค์กรปกครองสูงสุดเช่นเดียวกัน ในสมัยพุทธกาลมีพระพุทธเจ้าเป็นองค์พระประมุขทรงมีฐานะเป็นพระธรรมราชา มีพระสารีบุตรเป็นพระธรรมเสนาบดี มีพระมหาโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้ายช่วยในด้านการปกครอง ส่วนในประเทศไทยสมัยปัจจุบันมีองค์กรบริหารสูงสุดที่เรียกว่า “มหาเถรสมาคม” มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์พระประมุขสูงสุด มีหน้าที่ในการบริหารปกครองและออกกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่ขัดต่อหลักของพระธรรมวินัย รวมทั้งเป็นผู้ควบคุมและบังคับให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎระเบียบนั้น ๆ
๔) อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) หมายถึงอำนาจสูงสุดในการปกครอง และการบริหารของรัฐที่ชอบด้วยกฎหมาย มีลักษณะถาวร แสดงออกในรูปของการบังคับบัญชาผู้ที่อยู่อาศัยภายในรัฐนั้น ๆ โดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ อำนาจอธิปไตยนั้นมีความสำคัญยิ่ง เพราะจะเชื่อมโยงไปถึงรัฐธรรมนูญของรัฐนั้น ๆ ด้วย เป็นเครื่องแสดงความเป็นอิสระหรือความเป็นเอกราช อำนาจอธิปไตยอาจตั้งอยู่บนรากฐานของอำนาจบังคับหรือความยินยอมของประชาชน ในทางพุทธจักรมีพระธรรมวินัยเปรียบดังกฎหมายรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดที่ใครจะล่วงละเมิดมิได้ ถ้าหากมีผู้ล่วงละเมิดก็สามารถจะลงโทษหรือบังคับให้กระทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งตามพุทธบัญญัติได้ โดยเฉพาะในประเทศไทยในทางพุทธจักรมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ที่ให้อำนาจคณะสงฆ์บริหารปกครองกันเอง สามารถกำหนดนโยบายหรือออกกฎข้อบังคับใด ๆ ก็ได้ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยและกฎหมายของรัฐ
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบที่สำคัญของรัฐทั้ง ๔ คือ ประชาชน ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับในทางพุทธจักรแล้วนับว่ามีส่วนที่สอดคล้องกันอย่างมาก คือ องค์ประกอบของพุทธจักรประกอบไปด้วยบริษัททั้งสี่ซึ่งเป็นประชากร มีอาณาเขตหรือสังฆมลฑลอยู่ภายในรัฐที่แน่นอน มีองค์กรบริหารสูงสุดในสมัยปัจจุบันก็คือมหาเถรสมาคม มีอำนาจอธิปไตยคือกฎหมายของรัฐรับรองและมีพระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญสูงสุดของสังฆมลฑล พอที่จะกล่าวได้ว่าพุทธจักรก็คือรัฐ ๆ หนึ่งนั่นเอง ที่มีเป้าหมาย นโยบาย ที่แตกต่างจากรัฐทั่ว ๆ ไป
แต่นี้เป็นเพียงการนำหลักรัฐศาสตร์มาลองเปรียบเทียบให้เห็นเป็นเบื้องต้นเท่านั้น แต่องค์กรพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็นรัฐ และไม่อาจจะนำมาเปรียบเทียบกับรัฐในทางโลกได้ เพราะมีเป้าหมายเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ แต่คำสอนของพระพุทธเจ้ามีทุกระดับ ทั้งในระดับโลกิยธรรม คือ ธรรมที่ใช้สำหรับโลกปัจจุบันนี้ และโลกุตรธรรม คือหลักธรรมชั้นสูงสำหรับผุ้มุ่งความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะอยู่ในระดับใด แล้วเลือกเฟ้นหลักธรรมมาปรับใช้ให้เหมาะกับระดับของตน ก็จะสำเร็จประโยชน์ตามมุ่งหวังทุกประการ
อ้างอิง
[๑] ชลธิชา ศาลิคุปต์ , สังคมและการเมือง (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ว. เซอร์วิส , ๒๕๓๙ ) , หน้า ๑๙๕.
[๒] คณะกรรมการกลุ่มผลิตชุดวิชาสังคมศึกษา ๖ , สังคมศึกษา ๖ (รัฐศาสตร์สำหรับครู) หน่วยที่ ๑ - ๘ ( นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช , ๒๕๒๗ ) , หน้า ๖๖.
[๓] เรื่องเดียวกัน หน้า ๖๖.
[๔] สิน สภาวสุ , ทางรอดของมนุษย์ชาติ ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรสมัย , ๒๕๒๖ ) , หน้า ๑๙.
[๕] สุชีพ ปุญญานุภาพ , พจนานุกรมศัพท์พระพุทธศาสนา ไทย-อังกฤษ และ อังกฤษ-ไทย ( กรุงเทพฯ : เกษมบรรณกิจการพิมพ์ , ๒๕๑๔) , หน้า ๓๐๗.
[๖] ที.ม. ๑๐ / ๑๕๒ / ๑๐๓.
[๗] จรูญ สุภาพ , หลักรัฐศาสตร์( พระนคร : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช , ๒๕๑๔ ) , หน้า ๒๑.
[๘] องฺ.จตุก. ๒๑ / ๑๒๙ / ๑๓๒ - ๑๓๓.
[๙] พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ) , ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา
( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย , ๒๕๓๖ ) , หน้า ๖๔.
[๑๐] พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคำ) , ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย , ๒๕๓๔) , หน้า ๑๖๙.
[๑๑] ม.ม. ๑๓ / ๒๕๙ / ๒๕๖.
รัฐ ตามปรัชญาอิสลาม
หมายถึงถิ่นที่อยู่ของสรรพสิ่งที่อัลลอฮ์ สร้างขึ้นมา โดยมีสังคมพลวัตร กำกับดูแล
หน่วยในรัฐ ทั้งสิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิต มีภาระหน้าที่ มีสัญญาว่าจะดำรงการกตัญญูรู้คุณอัลลอฮ์ และ จะไม่ลืมอัลลอฮ์
แต่มนุษย์หลุดลอดจากมดลูกแม่ ลืมทุกคนก่อน จากนั้น หน้าที่อันชอบธรรมของพ่อแม่นั่นเอง ที่จะตักเตือน จากนั้นเมื่อพ่อแม่พ้นจากการตักเตือน พี่น้องมนุษย์(ลูกหลานจากมนุษย์คู่แรกของโลกที่เป็นพี่น้องกัน) ก็ต้องมีภาระหน้าที่ต่อกัน ต่อไป