หลักรัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพุทธ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณสมบัติยอดเยี่ยมหลายประการ เช่นที่มีในพระไตรปิฏกก็มีถึง ๙ ประการ ที่เรียกว่าพระพุทธคุณ ๙[๑]เช่น อรหํ เป็นพระอรหันต์ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพระคุณสมบัติอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะพุทธวิธีในด้านบริหารและปกครอง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระคุณสมบัติของนักบริหารและนักปกครองชั้นยอดของพระพุทธองค์ เพราะพระคุณสมบัติในด้านนี้ของพระองค์นั่นเอง จึงทำให้พระองค์สามารถประกาศพระพุทธศาสนาได้อย่างรวดเร็ว เป็นปึกแผ่นมั่นคงสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
คำว่า บริหาร ตรงกับภาษาบาลีว่า “ปริหร” เป็นคำที่แสดงความหมายถึงลักษณะของการปกครองว่า เป็นการนำสังคม หรือ หมู่คณะให้ดำเนินไปโดยสมบูรณ์ นำหมู่คณะให้พัฒนาไปพร้อมกัน ปริหร อาจบ่งความหมายถึงการแบ่งงาน การกระจายอำนาจ หรือ การที่สมาชิกในสังคมมีส่วนร่วมในการปกครองหมู่คณะก็ได้ ในพระไตรปิฏกมักจะใช้คำว่า ปริหร กับกลุ่มสังคม เช่น “อหํ ภิกฺขุสงฺฆํ ปริหริสฺสามิ เราจักปกครองภิกษุสงฆ์”[๒] เป็นต้น
การบริหาร (Administration) เป็นคำที่มีความหมายคล้ายคลึงหรือเหมือนกับคำว่า การจัดการ (Management) นอกจากสองศัพท์นี้ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันแล้ว ยังมีศัพท์อื่น ๆ อีกมากที่นำมาใช้สับสนปนเปกันไป เช่น การบริหารรัฐกิจ สาธารณบริหารหรือ รัฐประศาสนศาสตร์[๓]ซึ่งถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์ หน้าที่ของนักบริหารนั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน แต่เมื่อสรุปตามหลักอักษรย่อภาษาอังกฤษ POSDC[๔] ก็สรุปได้เหลือห้าประการ คือ
๑) การวางแผน (Planning) หมายถึงการกำหนดนโยบายและมาตรการอันเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
๒) การจัดองค์การ (Organizing) คือ การกำหนดตำแหน่งสายบังคับบัญชาในองค์การ ว่ามีตำแหน่งอะไรบ้าง แต่ละตำแหน่งมีอำนาจหน้าที่อย่างไร เป็นต้น
๓) การแต่งตั้งบุคลากร (Staffing) หมายถึงการสรรหาบุคลากรมาบรรจุแต่งตั้งในตำแหน่งที่กำหนดไว้ ตามหลักแห่งการใช้คนให้เหมาะกับงาน
๔) การอำนวยการ (Directing) หมายถึงการกำกับสั่งการ และมอบหมายให้แต่ละฝ่ายได้ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้
๕) การควบคุม (Controlling) หมายถึงการติดตามดูว่าแต่ละฝ่ายปฏิบัติงานไปถึงไหน มีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นในที่ใด และที่สำคัญคือการป้องกันมิให้ย่อหย่อนต่อหน้าที่ ละทิ้งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่
เมื่อนำหน้าที่ของนักบริหารมาศึกษาถึงพุทธวิธีในการบริหารแล้ว จะเห็นได้ถึงพระคุณลักษณะของนักบริหารของพระพุทธองค์ได้เป็นอย่างดี คือ
๑) การวางแผนหรือการกำหนดนโยบาย หลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วก็ทรงพิจารณาทบทวนธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั้นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง บริบูรณ์ดีแล้ว นานถึง ๗ สัปดาห์ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงเริ่มวางแผนในการเผยแผ่พระศาสนา ว่าจะไปโปรดใครก่อนเป็นอันดับแรก เพราะธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นั้นเป็นธรรมะที่ยากและลึกซึ้ง หากคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็คงจะเข้าใจไม่ได้ เมื่อพระองค์ทรงวางแผนอย่างนั้นแล้วก็เสด็จไปโปรดตามที่ทรงวางแผนเอาไว้โดยเสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน เพราะเป็นผู้ที่เคยบำเพ็ญเพียรมาก่อน เคยปฏิบัติพระองค์มาก่อนคงพอที่จะเข้าใจได้ ผลจากการแสดงธรรมครั้งแรกนั้นก็ทรงประสบผลสำเร็จ คือมีผู้รู้ตามเห็นตามธรรมะที่พระองค์ทรงประกาศและได้ขอบวชเป็นพระสงฆ์สาวกรูปแรกของพระองค์ นั่นก็คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ และหลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้ขอบวชและตรัสรู้ตามถึง ๖๐ รูป พระองค์ทรงเห็นว่ามีพุทธสาวกมากเพียงพอที่จะทำการเผยแผ่พระศาสนาให้กว้างขวางต่อไปแล้ว จึงได้ประกาศพุทธศาสโนบาย กำหนดเป้าหมายในการประกาศพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนว่า จะประกาศพระพุทธศาสนาไปเพื่อเป้าหมายอะไร พุทธศาสโนบายที่ทรงประกาศนั้นก็คือ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์และของมนุษย์แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์ทั้งที่เป็นของมนุษย์ พวกเธอ จงเที่ยวจาริก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าได้ไปรวมทาง เดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ ครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลี คือกิเลสในจักษุน้อย เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม[๕]
พุทธศาสโนบายของพระพุทธองค์นั้นทรงมีเป้าหมายชัดเจนว่า ให้พระสงฆ์สาวกไปเผยแผ่พระศาสนาซึ่งเรียกว่าพรหมจรรย์ คือแบบอย่างแห่งการดำรงชีวิตอันประเสริฐ เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลและความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระสงฆ์สาวกทั้ง ๖๐ รูปนั้นต่างก็รับพุทธศาสโนบายไปปฏิบัติ เพียงระยะเวลา ๙ เดือนหลังจากการตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงมีพระอรหันตสาวกมากกว่า ๑,๒๕๐ รูป และที่เป็นฆราวาสได้ดวงตาเห็นธรรม ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยมากกว่า ๑๒๐,๐๐๐ คน และผู้ที่มาปฏิญาณตนเป็นพุทธสาวกนั้นมีทุกชนชั้น ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ข้าราชการ นักปราชญ์ เจ้าลัทธิ และประชาชนทั่วๆ ไป จากผลสำเร็จในการประกาศพระศาสนาที่ใช้ระยะเวลาไม่นานหลังจากการตรัสรู้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงพระคุณสมบัติของนักบริหารชั้นยอดของพระองค์ ที่ทรงทำงานอย่างมีการวางแผน มีการกำหนดนโยบาย และเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอน
๒) พุทธวิธีในการบริหารองค์กร และ การบริหารงานบุคคล ในการบริหารองค์กรนั้น พระพุทธองค์ทรงมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการรับสมาชิกเข้าสู่องค์กร หรือสถาบันสงฆ์ ในยุคแรก ๆ พระองค์ทรงคัดเลือกสมาชิกที่เข้าใหม่เอง คือ ทรงอุปสมบทแก่ผู้ที่ต้องการที่จะอุปสมบทด้วยพระองค์เอง แต่ต่อมาก็ทรงมอบอำนาจให้สงฆ์เป็นผู้จัดการ และได้ทรงกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกที่จะเข้าใหม่ไว้อย่างเข้มงวดรัดกุม เช่น ผู้ที่จะอุปสมบทนั้นจะต้องเป็นผู้ชายมีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเป็นคนที่มีอวัยวะสมบูรณ์ไม่พิกลพิการ ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ[๖] ไม่เป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ดีเช่นเป็นโจร[๗]ไม่เป็นคนที่ทำความผิดหนีอาญาแผ่นดิน มีเครื่องหมายติดตัว เช่น มีรอยสัก ถูกเฆี่ยนหลังลาย[๘]เป็นต้น
เมื่อมีคุณสมบัติครบถ้วนแล้วก็จะต้องมีผู้รับรองหรือผู้ที่พิจารณาคัดเลือกว่าสมควรจะบวชหรือไม่ นั่นก็คือพระอุปัชฌาย์และพระสงฆ์ตามที่ทรงกำหนดไว้ คือ ไม่ต่ำกว่า ๑๐ รูปในเขตที่มีพระพอเพียง และไม่ต่ำกว่า ๕ รูป ในเขตที่มีพระหายาก หลังจากรับสมาชิกใหม่เข้ามาแล้ว จะต้องอยู่รับการศึกษาอบรมในสำนักของอุปัชฌาย์หรืออาจารย์อย่างน้อย ๕ ปี ซึ่งเรียกว่าการถือนิสัย[๙] ถึงแม้ว่าจะครบห้าปีแล้วก็ตาม ถ้ายังมีความรู้หรือมีความประพฤติที่ยังไม่เพียงพอที่จะปกครองตัวเองได้แล้ว จะต้องอยู่ศึกษาต่อไปจนกว่าอาจารย์หรืออุปัชฌาย์เห็นว่ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นนิสัยมุตตกะ คือ ไม่ต้องถือนิสัยในสำนักของอุปัชฌาย์อาจารย์ เพราะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรักษาตัวเองได้แล้ว เพราะว่าผู้ที่ยังไม่มีความรู้และมีภูมิธรรมที่ยังไม่เพียงพอนั้น อาจจะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ตนเองและหมู่คณะได้ นอกจากนี้ยังทรงบัญญัติให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมกันทุกกึ่งเดือน เพื่อตรวจสอบความประพฤติของตนเองว่ามีข้อผิดพลาดบกพร่องตรงไหนบ้าง และจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
ตามหลักรัฐประศาสนศาตร์ การบริหารงานที่ดีจะต้องมีการแบ่งมอบงานให้ข้าราชการหรือฝ่ายบริหารต่าง ๆ รับผิดชอบไปตามความรู้ความสามารถ จะต้องแต่งตั้งบุคลากรให้เหมาะกับงาน ซึ่งเกี่ยวกับด้านนี้พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกหรือแบ่งงานออกเป็นแผนก ๆ เช่นเดียวกัน ทรงแต่งตั้งพระภิกษุให้ทำหน้าที่ด้านต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เช่นพระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้ที่มีสติปัญญา มีความแตกฉานในพระธรรมคำสอน บางครั้งมีผู้มาทูลถามปัญหากับพระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ทรงให้ไปถามพระสารีบุตร เมื่อพระสารีบุตรตอบแล้วพระองค์ก็ทรงเปล่งสาธุการว่า ถ้าพระองค์ตอบเองก็เหมือนกันกับที่พระสารีบุตรตอบ พระองค์ทรงแต่งตั้งให้พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา หรือถ้าเรียกกันในสมัยปัจจุบันก็ได้แก่ ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการนั่นเอง ส่วนพระโมคคัลลานะนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ มีอิทธิฤทธิ์ มีความเฉียบขาด เฉียบแหลม ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยฝ่ายบริหาร และยังมีพระเถระอื่น ๆ ที่ทรงแต่งตั้ง เช่น พระอุบาลี ทรงมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการตัดสินอธิกรณ์ถึง ๓ เรื่อง คือ เรื่องพระกุมารกัสสปะ[๑๐] เรื่องพระภารุกัจฉกะ และเรื่องพระอัชชุกะ เพราะพระอุบาลีเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในพระวินัย[๑๑] ได้ศึกษาพระวินัยจากสำนักของพระพุทธองค์โดยตรง ในการยกย่องพระสาวกก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงยกย่องตามความรู้ความสามารถ ที่เรียกว่าทรงแต่งตั้งเอตทัคคะ เช่น พระปุณณมัณตานีบุตร เป็นผู้ที่แสดงธรรมได้อย่างยอดเยี่ยม พระองค์ทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะด้านธรรมกถึก[๑๒] เป็นต้น
นอกจากนี้พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ต่อสุขทุกข์ของพระสาวก หรือของสมาชิกในองค์กรอย่างใกล้ชิด เช่นในสมัยหนึ่งมีภิกษุรูปหนึ่งอาพาธด้วยโรคท้องเสีย เธอนอนจมอุจจาระปัสสาวะของตนอยู่ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพร้อมกับพระอานนท์ผ่านไป ทรงทอดพระเนตรเห็น จึงเสด็จเข้าไปหาแล้วทรงสอบถามถึงอาการป่วย ทรงรับสั่งให้พระอานนท์ไปหาน้ำมาแล้วพระองค์ก็ทรงอาบน้ำ ชำระร่างกายให้กับพระภิกษุรูปนั้นจนสะอาด ยกเธอขึ้นนอนบนเตียงเสร็จแล้วก็ทรงเรียกประชุมสงฆ์ และบัญญัติพระวินัยว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดาผู้จะพึงพยาบาลพวกเธอก็ไม่มี ถ้าเธอไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล ดูก่อนภิกษุทั้งหลายผู้ใดจะพยาบาลเรา ก็พึงพยาบาลภิกษุไข้เถิด ถ้ามีอุปัชฌายะ…ถ้ามีอาจารย์…ถ้ามีสัทธิวิหาริก…ถ้ามีอันเตวาสิก…ถ้ามีภิกษุร่วมอาจารย์ ภิกษุร่วมอาจารย์พึงพยาบาลเธอตลอดชีวิต จนกว่าจะหาย ถ้าไม่มีอุปัชฌายะ อาจารย์ สัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ผู้ร่วมอุปัชฌาย์หรือผู้ร่วมอาจารย์ สงฆ์พึงพยาบาลเธอ ถ้าไม่พยาบาลต้องอาบัติทุกกฎ[๑๓]
พระคุณลักษณะในข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักบริหารที่ดี เพราะผู้ที่เป็นผู้บังคับบัญชาต้องมีความเอาใจใส่ต่อสุขทุกข์ของผู้ใต้ปกครอง ตามภาษิตที่ว่า “ดีใช้ ไข้รักษา” คือเมื่อยามผู้ใต้ปกครองปกติก็สามารถมอบหมายงานต่างๆ ให้ทำได้ เมื่อยามเจ็บป่วยหรือไม่สบายก็จะต้องเอาใจใส่ดูแล ไต่ถามหรือช่วยเหลือตามสมควร ผู้ปกครองหรือผู้บริหารที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ ย่อมจะได้รับการเคารพนับถือจากผู้ใต้ปกครองอย่างจริงใจ
๓. พุทธวิธีในการอำนวยการและการควบคุม ในการเผยแผ่พระศาสนาในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้อำนวยการเอง ปัญหาต่าง ๆ จึงมีน้อย ถึงมีพระองค์ก็ทรงจัดการได้อย่างเรียบร้อย พุทธวิธีในการบริหารของพระองค์นั้นทรงยึดถือหลักการหรือธรรมะมากกว่าบุคคล มีพระพุทธพจน์ที่แสดงให้เห็นถึงการที่พระองค์ทรงยึดถือหลักการ (ธรรมะ) มากกว่าตัวบุคคล คือ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลยจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย
ในพุทธศาสนานั้น พระวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นหลักการสูงสุด พระองค์ทรงยึดหลักความถูกต้องเป็นสำคัญ หากพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งทำผิดพระวินัย พระองค์ก็จะทรงบอกว่าผิดไม่มีการยกเว้นว่าผู้นั้นจะเป็นใคร เช่นพระติสสะซึ่งเป็นโอรสของพระปิตุจฉาของพระองค์เอง ท่านบวชเมื่อตอนมีอายุมากแล้ว และยังมีมานะความถือตัวว่าเป็นโอรสของกษัตริย์ เมื่อเห็นพระอาคันตุกะซึ่งเป็นพระที่มีอายุพรรษามากกว่าตน มาเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ไม่ได้ทำสามีจิกรรมคือการต้อนรับ มีการลุกไหว้ เป็นต้น เมื่อพระอาคันตุกะเหล่านั้นประณาม ท่านก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า พระติสสะเป็นฝ่ายผิดและให้เป็นผู้ขอขมาโทษต่อพระอาคันตุกะเหล่านั้น[๑๕] เป็นการแสดงถึงการยึดถือหลักความถูกต้องเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่หน้าหรือเลือกปฏิบัติ
พระองค์ทรงใช้อำนาจในการบริหารทั้ง ๓ แบบ คือ อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย และ ธัมมาธิปไตย ตามความเหมาะสม แต่จะทรงเน้นถึงธัมมาธิปไตย คือ การถือธรรม ความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นใหญ่ สิ่งใดที่พระองค์ทรงเห็นว่าถูกต้อง เที่ยงธรรม แม้จะขัดกับฐานะของพระองค์เองและเป็นการฝืนกระแสของสังคม พระองค์ก็ทรงยืนหยัดอย่างเหนียวแน่น เช่น ในเรื่องการยกเลิกระบบวรรณะอย่างสิ้นเชิงในพระพุทธศาสนาทั้งๆ ที่พระองค์เองทรงถือกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ และทรงประกาศพระศาสนาในท่ามกลางศาสนาพราหมณ์ ที่เน้นและเคร่งครัดในเรื่องระบบวรรณะเป็นอย่างยิ่ง
ในองค์กรใดก็ตามเมื่อมีการขัดแย้งเกิดขึ้นในองค์กร ผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้ลงมาไกล่เกลี่ยหรือแก้ไข พระพุทธองค์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดมีความขัดแย้งแตกความสามัคคีกันของพระภิกษุชาวโกสัมพี[๑๖] พระองค์มิได้ทรงนิ่งนอนพระทัย ตอนแรกทรงฝากพระดำรัสเตือนมากับพระภิกษุให้มาบอกแก่พระภิกษุชาวโกสัมพีถึงสองครั้ง แต่พระภิกษุเหล่านั้นมิได้เชื่อฟัง ในวาระที่สามทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง แต่พระภิกษุเหล่านั้นก็ยังหาเชื่อฟังไม่ สุดท้ายพระองค์ทรงลงโทษด้วยการเสด็จหลีกออกจากหมู่พระภิกษุเหล่านั้น เสด็จไปประทับอยู่เพียงพระองค์เดียวที่ป่าปาริไลยกะ เมื่อประชาชนทราบข่าวว่าพระภิกษุเหล่านั้นทะเลาะกันจนพระศาสดาเสด็จหลีกไป ก็ไม่ทำบุญให้ทานแก่พระภิกษุเหล่านั้น จึงทำให้พระภิกษุชาวโกสัมพีสำนึกผิด และเดินทางไปทูลขอขมาต่อพระพุทธองค์
ในการควบคุมสมาชิกในองค์กร พระองค์ก็ทรงบัญญัติพระวินัยเอาไว้ให้เป็นกรอบปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสามเณรในพุทธศาสนา ไม่ว่าจะมาจากชนชั้นวรรณะใดแต่เมื่อเข้ามาสู่พระธรรมวินัยของพระองค์แล้ว ก็จะต้องอยู่ภายใต้กรอบหรือพระวินัยอันเดียวกัน จึงทำให้องค์กรมีเอกภาพ มีความเสมอภาค มีภราดรภาพ และในการบัญญัติพระวินัยของพระองค์นั้น พระองค์มิได้บัญญัติขึ้นตามที่ทรงพอพระทัย แต่จะทรงบัญญัติก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นและเหตุนั้นเป็นที่ตำหนิติเตียนของประชาชนบ้าง เป็นเรื่องไม่เหมาะสมบ้าง พระองค์จึงทรงห้ามการกระทำนั้น ๆ ถ้าใครขืนทำลงไปก็เป็นความผิดมีโทษตามพุทธบัญญัติ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระคุณลักษณะในด้านการบริหารของพระพุทธองค์นั้น สามารถที่จะนำมาใช้ในสังคมปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะพระคุณสมบัติของการเป็นนักบริหารชั้นยอดนี้เอง พระพุทธศาสนาจึงได้กลายเป็นสถาบันอันเป็นปึกแผ่นมั่นคงดำรงอยู่ในอินเดียเหนือได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และยังแผ่กระจายไปยังนานาประเทศ และองค์กรที่พระองค์ทรงก่อตั้งขึ้นก็คือองค์กรสงฆ์ ก็ยังมีความเจริญมั่นคงสืบเนื่องจนถึงทุกวันนี้
อ้างอิง
[๑] ม.มู. ๑๒ / ๙๕ / ๔๙.
[๒] ที.ม. ๑๐ / ๙๓ / ๘๖.
[๓] สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ , สาธารณบริหารศาสตร์ พิมพ์ครั้งที่ ๓ ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , ๒๕๔๐) , หน้า ๒.
[๔] พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) , คุณธรรมสำหรับนักบริหาร พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพนายสำคัญ ศังวนิช (ไม่ปรากฎสถานที่พิมพ์ , ๒๕๓๘) , หน้า ๑๐-๑๑.
[๕] วินย. ๔ / ๓๒ / ๓๒.
[๖] วินย. ๔ / ๑๐๑ / ๑๑๗.
[๗] วินย. ๔ / ๑๐๓ / ๑๒๑.
[๘] วินย. ๔ / ๑๐๖ - ๑๐๗ / ๑๒๒ - ๑๒๓.
[๙] วินย. ๔ / ๑๑๕ / ๑๒๘.
[๑๐] วินย. ๑ / ๗๘ / ๕๒.
[๑๑] องฺ.เอก. ๒๐ / ๑๔๙ / ๒๕.
[๑๒] องฺ.เอก. ๒๐ / ๑๔๖ / ๒๔.
[๑๓] วินย. ๕ / ๑๖๖ / ๑๘๐.
[๑๔] ที.ม. ๑๐ / ๑๔๑ / ๑๒๓.
[๑๕] มหามกุฎราชวิทยาลัย , พระธัมมปทัฏฐคาถาแปล ภาค ๑ พิมพ์ครั้งที่ ๑๓ ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย , ๒๕๒๙ ) , หน้า ๕๓ - ๖๓.
[๑๖] วินย. ๔ / ๒๓๘ - ๒๖๐ / ๒๔๕ - ๒๗๗.
ไม่มีความเห็น