พุทธวิธีในการปกครอง
การปกครอง คือ การควบคุม ดูแลหมู่คณะให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีระเบียบวินัย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของหมู่หรือของสังคมนั้น ๆ ศัพท์ที่ใช้ในความหมายว่าปกครองในพระไตรปิฏก เช่น ปสาส[๑]อภิปาล[๒] เป็นต้น ในสมัยพุทธกาลนั้นพระพุทธองค์มิได้มีพระดำริที่จะปกครองสงฆ์ ดังพระพุทธดำรัสที่ว่า “ดูก่อนอานนท์ ตถาคตมิได้มีความดำริอย่างนี้ว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่าภิกษุสงฆ์จักเชิดชูเรา ตถาคตจักปรารภภิกษุสงฆ์แล้ว กล่าวคำอย่างใดอย่างหนึ่งในคราวหนึ่ง”[๓]
๑) หลักในการปกครองสงฆ์ การปกครองในสมัยพุทธกาลนั้น ปกครองโดยอาศัยพระธรรมวินัย สิ่งสำคัญที่ทรงกระทำในการปกครองก็คือ การที่ทรงกำหนดระเบียบปฏิบัติสำหรับภิกษุสงฆ์ หรือเรียกว่า ทรงบัญญัติพระวินัย ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลักในการปกครองและบริหารงานคณะสงฆ์ นอกจากวินัยแล้วก็ทรงใช้ธรรมเป็นหลักในการบริหารการปกครองด้วย ธรรมเป็นคำสอน วินัยเป็นคำสั่ง รวมทั้งคำสอนคำสั่งของพระพุทธเจ้าเรียกว่า พระธรรมวินัย สังฆประศาสโนบาย หรือ อุบายในการปกครองสงฆ์นี้ ได้แก่การปรับปรุงความคิดเห็นของปัจเจกชนให้ถูกตรงตามหลักพระธรรมวินัย ให้พระธรรมวินัยปรากฎในตัวบุคคลหรือในตัวปัจเจกชน ด้วยการมอบกายไว้ภายใต้พระวินัย แล้วมอบใจไว้ภายใต้พระธรรม หมายความว่าให้สำเร็จเป็นการปกครองตัวเองขั้นหนึ่งก่อน แล้วค่อยปกครองหมู่คณะหรือบุคคลอื่นในภายหลัง
สิ่งที่จะตัดสินว่าอะไรคือธรรมวินัยนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ในโคตมีสูตร[๔]โดยใจความว่า ลักษณะที่จะตัดสินว่าอะไรคือธรรมวินัยของพระองค์นั้น จะต้องเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ความปราศจากทุกข์ ความไม่พอกพูนกองกิเลส ความอยากอันน้อย ความสันโดษ ความสงัด การประกอบความเพียร ความเลี้ยงง่าย ธรรมวินัยเหล่าใดที่มีลักษณะเป็นไปอย่างนี้จึงชื่อว่าเป็นธรรมเป็นวินัยของพระองค์ ถ้าตรงข้ามจากหลักทั้ง ๘ ประการนี้แล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระองค์
การปกครองสงฆ์ในสมัยพุทธกาลยังไม่มีรูปแบบในลักษณะที่เป็นองค์กรบริหารแบบจัดตั้งตามลักษณะขององค์กรบริหารทั่วๆ ไปในปัจจุบัน แต่เป็นกระบวนการในการทำหน้าที่ของพระภิกษุทุกรูปที่อยู่ร่วมกันในอาวาสหนึ่ง ๆ ซึ่งมีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะช่วยเหลือทำหน้าที่ดูแล รักษา และดำเนินการให้ชีวิตความเป็นอยู่ ความคิด คำพูด และการกระทำของภิกษุแต่ละรูปให้เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัย อีกทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่และกิจกรรมของสงฆ์ ทั้งภายในสังคมสงฆ์เองและที่เกี่ยวข้องกับสังคมภายนอก ให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ เรียกว่าเป็นการปกครองโดยธรรมวินัย เป็นไปเพื่อเกื้อกูลทั้งแก่ปัจเจกภิกษุ สังคมสงฆ์โดยส่วนรวม และแก่พระศาสนา คือ ทั้งประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมทั้งภายในและภายนอก
การที่พระพุทธองค์ทรงปกครองสงฆ์ โดยการที่ทรงบัญญัติพระวินัยก็ดี การที่ทรงแสดงธรรมก็ดี ก็เพื่อประโยชน์และความอยู่ผาสุกแก่หมู่สงฆ์โดยส่วนรวม มิใช่เพื่อประโยชน์และความสุขของพระองค์เองเลย เพราะพระองค์ทรงบรรลุประโยชน์และความสุขถึงที่สุดเต็มที่แล้ว คงเหลือแต่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจตามพุทธจริยาเท่านั้น พระองค์จึงทรงแสดงพระธรรมและทรงบัญญัติพระวินัยที่บุคคล เมื่อบุคคลมีพระธรรมวินัยปรากฎในใจของตน ก็ย่อมรู้จักปกครองกายและใจของตนได้อย่างเป็นระเบียบดีงาม ตามกำลังแห่งพระธรรมวินัยนั้น เพราะพระธรรมนั้นเป็นระเบียบของใจ พระวินัยเป็นระเบียบของกาย เมื่อรวมกันเข้าเป็นหมู่คณะก็เป็นหมู่คณะที่ดี ดังที่พระองค์ทรงยกย่องไว้ในปสาทสูตร[๕] โดยใจความสรุปว่า
บรรดาหมู่คณะใดๆ ในโลก หมู่สาวกของพระองค์เป็นหมู่คณะที่เป็นเลิศ เพราะเป็นหมู่ที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสออกเป็นชั้น ๆ เป็นหมู่คณะที่ละกิเลสได้เด็ดขาดบ้าง ได้บางส่วนบ้าง ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกัน คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี เป็นต้น ซึ่งบุคคลเช่นนี้จะอยู่ในหมู่คณะใด ก็ไม่นำพาความเสื่อมหรือความยุ่งยากมาสู่หมู่คณะนั้น กลับนำพาหมู่คณะให้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองถ่ายเดียว ดังนั้นหมู่คณะของพระองค์จึงเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาหมู่คณะทั้งหลายในโลก
พระพุทธองค์ทรงวางระบบสังคมสงฆ์บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมกันของพระภิกษุทุกรูป พระองค์มิได้มีพระประสงค์ที่จะรวมอำนาจการปกครองไว้ที่พระองค์เองหรือพระอรหันต์สาวกรูปใดรูปหนึ่ง เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะปกครองสงฆ์นั้น นอกจากพระพุทธองค์แล้ว ก็มีเพียงพระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระมหาโมคคัลลานะ และ พระสารีบุตรเท่านั้น ดังพระพุทธดำรัสที่ว่า “ ดีละโมคคัลลานะ ความจริงเราหรือสารีบุตรและโมคคัลลานะเท่านั้น พึงปกครองสงฆ์”[๖]
ถึงแม้ว่าพระอัครสาวกทั้งสองมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุด พระองค์ก็มิได้ทรงมอบให้พระอัครสาวกทั้งสองปกครองสงฆ์ ทรงมอบอำนาจให้สงฆ์มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองและบริหารงานในขอบเขตของพระธรรมวินัย ในตอนแรกพระองค์ยังไม่ทรงบัญญัติพระวินัย เพราะผู้บวชมีจำนวนน้อยและเป็นผู้ที่บวชด้วยศรัทธาจริง ๆ บางครั้งก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนที่จะบวช บางครั้งก็เป็นพวกที่ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วบวช เมื่อบวชแล้วก็บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์เสียส่วนมาก
แต่ต่อมาผู้บวชมีมากขึ้นพระองค์จึงทรงมอบอำนาจให้สงฆ์เป็นใหญ่ในสังฆกรรม โดยมีพระอุปัชฌาย์เป็นผู้นำเข้าหมู่ ผู้ที่บวชเข้ามาก็มีหลายประเภท คนที่ไม่มีศรัทธาหรือบวชด้วยวัตถุประสงค์อย่างอื่นก็สามารถบวชเข้ามาได้ ซึ่งกลุ่มนี้นั่นเองที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นในสงฆ์ เมื่อเป็นดังนี้พระองค์จึงทรงบัญญัติพระวินัยโดยสมควรแก่เหตุนั้น ๆ และทรงวางโทษไว้เป็นพุทธอาณา ด้วยการปรับอาบัติหนักบ้าง เบาบ้าง ตามสมควรแก่โทษแก่ผู้ที่ล่วงละเมิด เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหาย นอกจากนี้ยังทรงแต่งตั้งขนบธรรมเนียมซึ่งเรียกว่า อภิสมาจาร เพื่อชักนำความประพฤติของภิกษุสงฆ์ให้ดีงาม พระพุทธบัญญัติและอภิสมาจารทั้ง ๒ ประการนี้รวมเรียกว่า พระวินัย เป็นระบอบในการปกครองสงฆ์ตั้งแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา
พระพุทธบัญญัติที่ทรงตั้งไว้เดิมเรียกว่า มูลบัญญัติ ที่ทรงเพิ่มเติมในภายหลังเรียกว่า อนุบัญญัติ ทั้งสองประการนี้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติและแก้ไขด้วยพระองค์เอง ไม่มีสาวกองค์ใดกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ถึงแม้ว่าก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ทรงประทานอนุญาตไว้ว่า ถ้าหากสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยก็ให้ถอนได้[๗] แต่ก็ไม่มีพระสงฆ์สาวกรูปใดที่จะถอน แม้ในคราวปฐมสังคายนาพระอรหันต์สาวกทั้งหลายก็มีมติที่จะไม่ถอน พระสงฆ์รุ่นหลัง ๆ ก็ได้รับปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน อำนาจในการปกครองสงฆ์นั้นเป็นอำนาจที่ได้มาจากพระธรรมวินัย จุดประสงค์หลักของการปกครองสงฆ์ก็เพื่อรักษาพระธรรมวินัย และเพื่อประโยชน์แก่สังคมสงฆ์เองตลอดถึงสังคมภายนอกคือหมู่ประชาชนทั่วไปอีกด้วย จะเห็นได้จากวัตถุประสงค์ของการบัญญัติพระวินัยของพระพุทธองค์[๘]ซึ่งมีทั้งหมดด้วยกัน ๑๐ ประการ แต่สามารถสรุปย่อลงได้เหลือห้าประการ[๙] คือ
๑) เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือแก่คณะสงฆ์ แบ่งได้เป็น ๒ ประการ คือ
- สงฺฆสุฏฺฐุตายะ เพื่อความยอมรับว่าดีแห่งสงฆ์ คือ เพื่อความดีงามของสถาบันสงฆ์โดยส่วนรวม ที่จะมีความเรียบร้อย อยู่กันด้วยดี ด้วยการตั้งวินัยขึ้นมาบนพื้นฐานแห่งการยอมรับร่วมกัน คือ พระพุทธเจ้าไม่ทรงใช้อำนาจโดยการบังคับฝืนใจ แต่ทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อผลดีร่วมกันและโดยความยอมรับร่วมกัน
- สงฺฆผาสุตายะ เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งสงฆ์ หรือส่วนรวม
๒) เพื่อประโยชน์แก่บุคคล
- ทุมฺมํกูนํ ปุคคลานํ นิคฺคหาย เพื่อกำราบคนหน้าด้าน (ทุมมังกุ ผู้เก้อยาก)
- เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย เพื่อความอยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก เพื่อส่งเสริมคนประพฤติดีและกำราบคนประพฤติชั่ว
๓) เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปที่เป็นสังคมใหญ่ เพื่อผลดีแก่จิตใจของประชาชน ทำให้คนมีจิตใจผ่องใส ด้วยอาศัยความดีงามของพระสงฆ์เป็นสื่อ
- อปฺปสนฺนานํ ปสาทาย เพื่อความเลื่อมใสของประชาชนที่ยังไม่เลื่อมใส
- ปสนฺนานํ ภิยฺโยภาวาย เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของประชาชนที่เลื่อมใสอยู่แล้ว
สองข้อนี้มุ่งเพื่อประโยชน์ของประชาชนเอง เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับประชาชนมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ทำให้เขามีจิตใจสงบ แช่มชื่น เบิกบาน สบาย ผ่องใส เกิดศรัทธามีปิติ และความสุขเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่คุณความดีที่สูงยิ่งขึ้นไป
๔) เพื่อประโยชน์แก่ชีวิตมนุษย์เอง คือ คำนึงถึงผลดีและผลร้ายที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของมนุษย์ เช่น เรื่องของความดี ความชั่วเป็นต้น โดยมุ่งที่จะสร้างสภาพที่เอื้อต่อชีวิตที่ดีงาม
- ทิฎฺฐธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย เพื่อปิดกั้นผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน
- สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย เพื่อป้องกันผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
๕) เพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา
- สทฺธมฺมฎฺฐิติยา เพื่อให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงยั่งยืน
- วินยานุคฺคหาย เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย เพื่อช่วยค้ำจุนให้ระเบียบแบบแผนและระบบการต่างๆ ให้เกิดมีในการปฏิบัติตามหลักการอย่างหนักแน่นมั่นคง เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างยั่งยืน
กระบวนการในการปกครองสงฆ์จึงเป็นการสร้างสังคมอุดมคติ นอกจากจะมีพระวินัยเป็นหลักปฏิบัติแล้ว ยังต้องอาศัยคุณธรรมต่าง ๆ ของพระสงฆ์สาวก เช่น ความเป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน ความหวังดีในทางธรรมต่อกัน ความสามัคคีกันในทางธรรม ความพร้อมเพรียงกันทำหน้าที่โดยเห็นแก่ธรรมเป็นหลัก เป็นต้น
นอกจากนี้ยังจะต้องเคารพลัทธินิยมหรือประเพณีของกันและกัน โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือ วิมุตติ การปกครองสงฆ์นั้นจะต้องยึดถือพระธรรมวินัยเป็นหลัก แต่เมื่อการปฏิบัติยังไม่ถึงที่สุดก็อาจจะทำให้มีธรรมเนียมนิยมที่แตกต่างกันบ้าง จึงต้องมีความเคารพในธรรมเนียมของกันและกัน เพื่อป้องกันความกระทบกระเทือนทางจิตใจ อันจะเป็นเหตุให้หมู่คณะเกิดการแตกร้าว เป็นการยึดเหนี่ยวน้ำใจกันไว้ด้วยสามัคคีธรรม เมื่อการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเข้าถึงที่สุดแล้ว ธรรมเนียมนิยมนั้น ๆ ก็จะหายไปเอง ไม่ถือเอาเป็นสาเหตุของการขัดแย้งวิวาทอันเป็นปัจจัยทำลายความสามัคคีในสังฆมณฑล เมื่อสรุปถึงหลักการในการปกครองสงฆ์แล้วจะได้ ๓ ประการ คือ
๑) ยึดถือพระธรรมวินัยเป็นหลักในการปกครอง แล้วอาศัยคุณธรรมต่าง ๆ ของพระอริยสาวกเป็นเครื่องสนับสนุนเกื้อกูล
๒) เคารพธรรมเนียมนิยมของกันและกัน ตามพระธรรมวินัย
๓) มุ่งผลคือความสามัคคี และ ความผาสุกของคณะสงฆ์ตามพุทธบัญญัติ
๒. ระบอบในการปกครองสงฆ์
การปกครองสงฆ์แต่เดิมมาเป็นการปกครองในทำนองอาจารย์ปกครองศิษย์ บิดาปกครองบุตร อาจารย์มีความเมตตาในศิษย์ บิดามีเมตตาในบุตร ศิษย์มีความเคารพในอาจารย์ บุตรมีความเคารพในบิดา ต่างก็เป็นกัลยาณมิตรของกันและกัน โดยมีพระธรรมวินัยเป็นหลัก มีพระศาสดาทรงดำรงตำแหน่งในที่เป็นพระธรรมราชา คือ เป็นประมุขสูงสุด ทรงตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นพระสังฆบิดรผู้ดูแลพระภิกษุสงฆ์ ทรงวางระบอบการปกครอง คือ พระวินัย เพื่อให้หมู่สงฆ์เป็นหมู่ที่ดี ทรงบัญญัติหน้าที่ซึ่งอาจารย์กับศิษย์จะพึงปฏิบัติต่อกันอันเรียกว่า “วัตร” มีอุปัชฌายวัตร สัทธิวิหาริกวัตร อาจาริยวัตร อันเตวาสิกวัตร เป็นต้น ต่างฝ่ายต่างก็เอาเป็นธุระของกันและกัน ไม่ปล่อยปละละเลย เมื่อศิษย์ทำผิดอาจารย์ก็จะลงโทษในฐานะอาจารย์กับศิษย์ หรือ เหมือนกับบิดาลงโทษบุตร เป็นการลงโทษด้วยความเมตตาเพื่อให้สำนึกในความผิดของตน จะได้กลับตัวกลับใจจากการประพฤติผิดมาประพฤติให้ถูกต้อง อาจารย์หรือผู้ปกครองก็จะคอยเป็นผู้แนะนำพร่ำสอนชี้คุณชี้โทษ ให้รู้ตระหนักถึงเหตุผล และคอยควบคุมเอาใจใส่ โดยผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองนั้นจะต้องตั้งตนให้เป็นตัวอย่างหรือผู้ปกครองที่ดีก่อน ซึ่งจะเป็นการง่ายขึ้นในการชักนำให้เกิดศรัทธาแก่ผู้ใต้ปกครอง
การปกครองที่เป็นไปตามระบอบพระธรรมวินัยนั้น คือ การปกครองคนให้เป็นคนดี พร้อมทั้งความรู้และความประพฤติ ที่เรียกว่า ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เมื่อคนดีอยู่ในสถานที่ใด ก็จะเป็นกำลังช่วยทำให้สถานที่นั้น ๆ ให้เจริญได้ สถานที่จะเจริญได้ก็เพราะคนดี ระบอบการปกครองที่ดีจึงต้องสร้างคนดีให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อที่จะสืบสานนโยบายในการทำงานต่อไปอย่างไม่ขาดสาย พระพุทธองค์ทรงสร้างสาวกให้เป็นธรรมทายาท จึงทำให้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน
๓. พุทธวิธีในการปกครองสงฆ์
วิธีในการปกครองสงฆ์ของพระพุทธองค์นั้น ทรงมีหลายวิธี ซึ่งจะนำมาสรุปได้ก็คือ
๓.๑ ปกครองตนหรือฝึกตน วิธีการปกครองในทางพระพุทธศาสนาก็คือ การครองตนหรือปกครองตัวเอง ถ้าปกครองตัวเองไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะปกครองผู้อื่นได้ การที่จะปกครองผู้อื่นได้นั้นต้องปกครองตนเองให้ได้เสียก่อน ดังพุทธพจน์ว่า “บุคคลพึงยังตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วพึงพร่ำสอนผู้อื่นในภายหลัง บัณฑิตประพฤติตนอย่างนี้ จึงไม่เศร้าหมอง”[๑๐] ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงเป็นผู้ปกครองสงฆ์นั้น พระองค์ได้ฝึกพระองค์เองมาอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยพระองค์ทรงเริ่มฝึกพระองค์เองมานับชาติไม่ถ้วนก่อนที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่าทรงบำเพ็ญบารมี ซึ่งมีตั้งแต่บารมีขั้นสามัญ ขั้นปานกลาง จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดที่เรียกว่า ปรมัตถบารมี เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงตั้งอยู่ในฐานะพระธรรมราชาผู้ปกครองพุทธบริษัท ทรงเป็นนักปกครองอย่างดีเลิศ ไม่มีนักปกครองใด ๆ ที่จะเสมอหรือยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์ หลักในการปกครองตนนั้นต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย
๓.๒ ปกครองบุคคลที่สมควรปกครองหรือฝึกบุคคลที่ควรฝึก บุคคลนั้นมีความแตกต่างกันออกไป และมิใช่ว่าจะสามารถฝึกให้ดีได้ทุกคนไป พระพุทธองค์เองก็ทรงไม่สามารถฝึกได้ทุกคน แต่พระองค์ทรงมีวิธีฝึกหรือวิธีในการปกครองของพระองค์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงสนทนากับนายเกสีผู้ฝึกม้า โดยนายเกสีกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเป็นสารถีฝึกบุรุษชั้นเยี่ยม พระองค์ทรงฝึกอย่างไร?”
“เหมือนกันแหละเกสี เราฝึกโดยวิธีละมุนละม่อมบ้าง โดยวิธีรุนแรงบ้าง ทั้งละมุน ละม่อมและรุนแรงบ้าง”
“ถ้าฝึกไม่ได้พระองค์จะทำอย่างไร”
“ถ้าฝึกไม่ได้ เราก็ฆ่าเหมือนกัน…เกสี การฆ่าในความหมายแห่งอริยวินัยนี้ คือ การที่เราไม่ว่ากล่าวสั่งสอน เพื่อนพรหมจารีผู้รู้ก็ไม่ว่ากล่าวสั่งสอน”[๑๑]
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้พระพุทธองค์เองก็ไม่สามารถฝึกหรือปกครองคนได้ทุกคน การฝึกคนโดยวิธีละมุนละม่อมของพระพุทธองค์ก็ได้แก่ การชี้ให้เห็นสุจริตและผลของสุจริต การฝึกอย่างรุนแรงของพระองค์คือ การชี้ให้เห็นทุจริต และผลของทุจริต ให้เห็นนรก เปรต กำเนิดสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น บุคคลที่ปกครองได้ฝึกได้ท่านเรียกว่า เวไนยสัตว์ การปกครองผู้อื่นนั้นจะต้องปกครองด้วยธรรมะ คือใช้ธรรมะเข้าไปปราบกิเลสจึงจะสามารถปกครองได้ผลดี
๓.๓ สังคหวิธี วิธีนี้เป็นอุบายยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการปกครองที่ดี พระพุทธเจ้าไม่โปรดในการใช้อาชญาเหมือนอย่างกับการปกครองในทางโลก เพราะว่าไม่ว่าบุคคลนั้น ๆ จะดื้อด้านปกครองยากเพียงใดก็ตาม ถ้าหากผู้ปกครองเป็นผู้ฉลาดในการยึดเหนี่ยวน้ำใจก็สามารถที่จะทำให้เป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยนได้ สิ่งที่ใช้ในการยึดเหนี่ยวน้ำใจก็คือธรรมะ เช่น หลักสังคหวัตถุ ๔ สาราณียธรรม ๖ เป็นต้น
๓.๔ นิคคหวิธี คือ การข่มบุคคลที่ควรข่ม เป็นธรรมดาของหมู่คณะไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม จะต้องมีคนดีและคนไม่ดี คนที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากในหมู่คณะก็คือคนไม่ดีนั่นเอง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะต้องเป็นธุระเพื่อความผาสุกของหมู่คณะหรือประชาชนโดยส่วนรวม เมื่อใช้วิธีอื่น ๆ ไม่สำเร็จแล้วก็จำต้องใช้นิคคหวิธี คือ การลงโทษ ในทางการปกครองสงฆ์เรียกว่า นิคคหกรรม คือ การลงโทษตามสมควรแก่ความผิด การลงโทษในทางวินัยนั้นถ้าเป็นความผิดที่ไม่รุนแรง พอที่จะแก้ไขและปรับปรุงพฤติกรรมใหม่ให้ดีขึ้นได้นั้น เรียกว่าสเตกิจฉา ถ้าเป็นความผิดที่ร้ายแรง ไม่สามารถที่จะขอปรับปรุงแก้ไขใหม่ได้ เรียกว่าอเตกิจฉา เปรียบเสมือนการต้องโทษประหารชีวิตในทางโลกนั่นเอง ตัวอย่างนิคคหวิธีที่พระพุทธองค์ทรงใช้ เช่น การที่ทรงมีพระพุทธานุญาตให้ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ ที่มีความถือตัวว่าเคยเป็นผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดของพระพุทธองค์มาตั้งแต่ก่อนผนวช ว่า “ดูก่อนอานนท์…โดยล่วงไปแห่งเรา พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนะภิกษุ ดูก่อนอานนท์ ฉันนะภิกษุจะพึงพูดได้ตามที่ตนปรารถนา ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่าไม่พึงกล่าวไม่พึงสั่งสอน”[๑๒]
๓.๕ ปัคคหวิธี คือ การยกย่องคนที่ควรยกย่อง เพื่อให้บุคคลนั้น ๆ ได้รับขวัญและกำลังใจในการกระทำความดียิ่ง ๆ ขึ้น และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการมองเห็นถึงความดีของบุคคลนั้น ๆ พระพุทธองค์ก็ทรงใช้วิธีนี้เช่นกัน เช่นทรงยกย่องพระอานนท์ว่า
อานนท์เป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่านี้เป็นกาลเพื่อจะเข้าเฝ้าพระตถาคต นี้เป็นกาลแห่งภิกษุ นี้เป็นกาลแห่งภิกษุณี นี้เป็นกาลแห่งอุบาสก นี้เป็นกาลแห่งอุบาสิกา นี้เป็นกาลแห่งพระราชา นี้เป็นกาลของราชอำมาตย์ นี้เป็นกาลของเดียรถีย์ นี้เป็นกาลของสาวกเดียรถีย์[๑๓]
วิธีทั้งห้าประการนี้เป็นพุทธวิธีในการปกครองสงฆ์ แต่หลักการหรือวิธีการที่พระพุทธองค์ทรงใช้มากที่สุดก็คือ การปกครองตามหลักพระธรรมวินัยนั่นเอง ถ้าหากว่าคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันนี้ รื้อฟื้นพุทธวิธีการปกครองสงฆ์ของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในองค์กรคณะสงฆ์ให้หมดสิ้นไปได้ แทนที่จะใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ชาวโลกบัญญัติขึ้นมาให้พระสงฆ์ใช้ ทำให้องค์กรคณะสงฆ์ประสบปัญหามากมายในปัจจุบันนี้
[๑] ที.ม. ฉบับบาลี ๑๐ / ๑๖๕ / ๑๑๙.
[๒] ที.ปา. ฉบับบาลี ๑๑ / ๒๗๘ / ๒๑๖.
[๓] ที.ม. ฉบับบาลี ๑๐ / ๑๖๕ / ๑๑๙.
[๔] องฺ.อฏฺฐก. ๒๓ / ๑๔๓ / ๒๒๑ - ๒๒๒ ; วินย. ๗ / ๕๒๓ / ๒๓๑.
[๕] องฺ.จตุกฺก. ๒๑ / ๓๔ / ๓๔ - ๓๕.
[๖] ม.ม. ๑๓ / ๑๘๙ / ๑๕๕.
[๗] ที.ม. ๑๐ / ๑๔๑ / ๑๒๓ .
[๘] วินย. ๑ / ๒๐ / ๒๖ - ๒๗ , องฺ.ทสก. ๒๔ / ๓๑ / ๖๓.
[๙] พระธรรมปิฏก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) , นิติศาสตร์แนวพุทธ ( กรุงเทพฯ : บริษัทสหธรรมิก จำกัด , ๒๕๓๙ ) , หน้า ๖๒.
[๑๐] ขุ.ธ. ๒๕ / ๑๕๘ /๕๒.
[๑๑] องฺ.จตุตฺก. ๒๑ / ๑๑๑ / ๑๑๒ - ๑๑๓
[๑๒] ที.ม. ๑๐ / ๑๔๑ / ๑๒๓.
[๑๓] ที.ม. ๑๐ / ๑๓๕ / ๑๑๗.
ไม่มีความเห็น