บันทึกนี้ได้แรงบันดาลใจให้เขียน จากการอ่านเอกสารPolicy Brief ของ HITAP เรื่อง กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ ทำให้ผมนึกถึงความซับซ้อนของการพัฒนาประเทศ/สังคม ผู้ที่มีหน้าที่บริหารประเทศมักคิดโครงการต่างๆ ด้วยความตั้งใจดี โดยที่ผลในภาพรวมอาจเป็นผลดี ต่อประเทศตามที่ผู้บริหารประเทศคิด แต่เพราะความซับซ้อนของเรื่อง ผลร้ายที่ผู้บริหารคิดไม่ถึง อาจรุนแรงในขนาดที่บวกลบกับผลดีแล้ว โครงการนั้นก่อโทษมากกว่าก่อคุณ
หรือโครงการนั้นอาจก่อคุณต่อคนบางกลุ่ม แต่ก่อโทษต่อคนกลุ่มอื่น หรืออาจดีต่อเศรษฐกิจ แต่ก่อผลร้ายต่อสุขภาพของผู้คนจำนวนมาก และที่ดีต่อเศรษฐกิจนั้น ผู้ได้รับผลดีคือนายทุนทั้งหลาย แต่ผู้ได้รับผลร้ายต่อสุขภาพคือชาวบ้าน
เพราะความซับซ้อนเช่นนี้แหละ กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะจึงต้องมีการวิจัยหนุน เพื่อให้มีการถกเถียงเชิงนโยบาย โดยมีพยานหลักฐานข้อมูล ที่เรียกว่า evidence-based เพื่อลดการถกเถียง กันด้วยความรู้สึก ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง หรืออาจรุนแรงได้
ในเรื่องสุขภาพ เราอยากให้มีนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ให้มีน้ำหนักนำมาเป็นข้อเจรจาต่อรอง ไม่ใช่มีแต่นโยบายสาธารณะเพื่อเงิน เพียงอย่างเดียว เพราะแม้รัฐจะได้เงินภาษีจากโครงการ ก มาก แต่เมื่อเอารายจ่ายจากการต้องดูแลรักษาความเจ็บป่วยที่เป็นผลตามมา รัฐอาจขาดทุนก็ได้
หน่วยงานที่ทำงานด้านพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพคือ สช. โดยใช้เครื่องมือการวิจัย และสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ต้องอ่านเอกสารนี้เอาเองนะครับ จะเห็นว่า ประเด็นนโยบายสาธารณะ ที่นำมาถกเถียงกันในสมัชชาสุขภาพแห่งชาตินั้น มีความหลากหลายมาก และการทำหน้าที่ของ สช. ในการจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพก็มีประเด็นให้เรียนรู้และปรับปรุงมากมาย โดยเฉพาะทักษะ ของเจ้าหน้าที่ในการเป็นวิทยากรกระบวนการ ของการถกแถลง (deliberation) ระหว่างฝ่ายต่างๆ
วิจารณ์ พานิช
๑๘ ก.ย. ๕๖
ไม่มีความรู้แต่ขยัน จะได้ใหม
ถ้าไม่รู้อยู่เฉย น่าเกิดประโยชน์กว่า