นิยายหนังตะลุงเรื่อง"แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง" ตอนที่ 1"


ปรายหน้าบท
ผมนายหนังนั่งกราบด้วยซาบซึ้ง                ถึงพระเจ้าห้าองค์ทรงเฉลิม
หนึ่งกะกุสันโทองค์ทรงประเดิม                 ผู้แรกเริ่มพุทธกัลป์ช่วยกั้นภัย
โกนาคมผมหวังพลังหนุน                       พุทธคุณคุ้มเกล้าให้พราวใส
กัลปะช่วยกันดันดลใจ                          ให้ฉับไวเชาว์ปรีชาปัญญายง
พระสมณะโคดมผมกราบกราน                   ช่วยประสานให้ผมสมประสงค์
พระศรีอารย์ท่านค้ำชูผู้ดำรงค์                  อนาคตคง มาตรัส กำจัดภัย
อีกองค์อินทร์ยินยลมาดลด้วย                 โปรดได้ช่วยดันชื่อให้ลือไสว
ทั้งนารายณ์ให้มนต์ขลังสมดังใจ               มาปัดป้องโพยภัยระไวระวัง
อีกพระยมผมกราบด้วยทราบซึ้ง               รวมทั้งถึงพระกาลท่านช่วยสั่ง
ให้พาลภัยไกลข้าฯโปรดมายั้ง                 ผมนายหนังนั่งพรรณาบูชาคุณ
พระพิฆเนศร์คุ้มเกศเกล้าเข้าปกปัก           สุนทรารักษ์สุนทรกลอนให้พรหนุน
เสริมปัญญามาช่วยเกื้อเจิมเจือจุน              มาเติมทุนให้ลีลาสง่างาม
เอ่ย แม่เหย มาเติมทุน เติมลีลา ให้สง่างาม
(พากรูปปรายหน้าบท เดินนาดแขนด้วยลีลานิ่มนวล สง่างามตามจังหวะเครื่องดนตรีสักครู่ แล้ว
พากรูปตามเนื้ออิริยาบทหรือตามเนื้อหาของคำกลอนควบคู่ไปด้วย )
ยกหัตถัง ยังหัตถา มาจบเศียร                 ต่างธูปเทียน ตั้งเทอดธรรม พร่ำคาถา
เคารพองค์ คงรับเอา องค์พุทธา                น้อมธรรมา นำธรรมะ มาใส่มน
บูชาสงฆ์ บ่งชี้สัจจ์ กำจัดภัย                    ด้วยศีลใส ได้สืบสาน บันดาลผล
มีศรัทธา มาสืบธรรม ชี้นำชน                    ไม่มืดมน เมื่อมุ่งมาด สืบสาศน์สุนทร์
กราบละอองธุลีองค์ตรงพระบาท                ประมุขชาติปรมินทร์เชื้อทรงเกื้อหนุน
ขอพระองค์ทรงสุขใสด้วยใบบุญ                ขอเทอดคุณพระองค์จงทรงพระเจริญ
กราบชนกชนนีผู้มีคุณ                           ได้เกื้อหนุน โดยกำเหนิด เจิดจำเหริญ
ตั้งแต่เยาว์ ต้องเยียวยา คุณค่าเกิน              จึงได้เชิญ จงได้ช่วย มาอวยชัย
กราบสุนทร กลอนธุลี กวีวาด                    แบบบทปราชญ์ บทบาทเปรื่อง รุ่งเรืองใส
สุนทรภู่ สุธีพาท นักปราชญ์ไทย                 ช่วยดลใจให้บรรเจิดเลิศลือชา
ตำนานหนัง ตั้งนานนัก ท่านหนักทอง            เป็นครูของอดีตกาลนานนักหนา
นายกองช้างตลุงช้างอ้างตำรา                   แบบชวาดัดแต่งเล่นแหล่งไทย
ครูก้อนทองอีกท่านการสืบเนื่อง                 ประดิฐเรื่องหนังตลุงอดีตสมัย
ว่างจากศึกฮึกเหิมเพิ่มพลังใจ                    ตะลุงไทยในชวาเรียกวายัง

ปรายหน้าบท (ต่อ)
สมัยกรุงศรีวิชัยไทยภาคใต้                     แกะลวดลายหนังวัวเป็นตัวหนัง
ฝรั่งเรียกชาโด้วโชว์เงาบัง                       เริ่มเล่นหนังเขตุตะลุงคือหลุงช้าง
เอาไม้ไผ่สี่ลำทำสี่มุม                            หนวดรามรุมดึงจอหนังทั้งสี่ข้าง
หน้าจอตึงดึงราวผ้าขาวบาง                       ไฟสว่างตะเกียงจ้าเจ้าพายุ
แขวนตะเกียงส่องสว่างตรงกลางจอ             ให้พอเหมาะกั้นแสงหลังบังจักษุ
เอารูปหนังบังแสงส่องทะลุ                      คนชมดูหน้าจอก็พอใจ
อันช่างศิลป์แกะรูปงามตามเนื้อเรื่อง             นายหนังเปรื่องปราชญ์ธรรมตามสมัย
แทรกความรู้คู่ธรรมะรักษาใจ                   พร้อมทั้งให้ความบันเทิงรื่นเริงรมย์
หนังชั้นครูผู้สืบสานการแสดง                    มีหลายแห่งพัฒนามาผสม
อนุรักษ์ต้องประยุกต์ปลุกผู้ชม                  ให้เหมาะสมกับสมัยไทยสากล
หนังปานบอดยอดหนังนครศรีฯ                  ว่ากลอนดีปฏิพานท่านสร้างผล
บอดสนิทจิตรสว่างอย่างเห็นตน                 ว่ากลอนด้นสัมผัสชัดเจนจริง
อีกหนังเอียดปากพลคนเขาลือ                  ตัวท่านคือหนังครูรู้สรรพสิ่ง
ศิษย์ท่านดีมีหนังกั้นนั้นศิษย์จริง                สืบทอดสิ่งดีๆมีมากมาย
หนังเด่นๆดีๆมีชื่อเสียง                          มีชื่อเรียงเสียงก้องต้องขยาย
กล่าวไม่หมดได้จดชื่อเรียงไว้                   เพื่อจะได้สืบค้นผลงานศิลป์
ผมฝึกหัดไม่สันทัดในกลกานท์                 เพราะรักงานกวีกิจจิตตถวิล
ยังงกเง็กเหมือนกับเด็กหัดเดินดิน               เพราะรักศิลป์หวังสืบสานชั่วกาลกัลป์
ขออ้างเอาศักดิ์สิทธิ์ทุกทิศศา                   สถิตทั่วดินฟ้าห้วงมหันต์
ดลบันดารท่านผู้ชมสมสุขพลัน                   ขอเทวัญกั้นภัยพาลท่านผู้ชม
เอ่ย ท่านเหย ขอเทวัญกั้นภัยพาล เอ่ย ท่านผู้ชม
(ออกรูปนายขวัญเมือง บอกเรื่อง)
นายขวัญเมือง “ขอทำความสวัสดีกับพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย คนเฒ่า คนแก่ ลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลาย ทั้งเพ่น ทั้งเพ ทั้งหมดทั้งฉาด แลแหละ บ้างพาสาดมารองนั่ง รองนอน นั่งแลมั่ง นอนแลมั่งก็ไม่พรื่อไหร ให้ได้แลหนังตะลุง แหลงคำบ้านเราว่ามาแลหนัง มาแลหนังเล่น ถ้าพูดตามภาษากลางว่ามาดูหนังตะลุงแสดง ภาษาบ้านเราว่ามาแลหนังก็ไม่ผิดไหร เราแหลงกันพันนี้ คณะโหมผมเดินผ่านย่านบ้านหว่างอีถึงมานี้ โหมเด็กมันถาม “หนังไหรน้าเณร ไปเล่นไหน่ เสียงโก้กันฉาวเหม็ด ไปแลหนังเหย้ เอาล่ะ

 

เอาแหละคับ ขอขอบคุณพี่น้องทุกท่าน ที่มาใหห้การสนับสนุน มาให้กำลังใจ มาช่วยแล
มาช่วยอนุรักษ์เอาไว้ให้หนังตะลุงคงอยู่ต่อไป ช่วยกันส่งเสริมให้คณะพออยู่ได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลา คณะจะขอเสนอนิยายหนังตะลุงในเรื่อง “แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง” มาสู่สายตาของท่านผู้ชม โอกาศนี้คณะก็ขออ้างเอาคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก จงดลบันดารให้พี่น้องมีความสุขความเจริญทุกท่าน เชิญหาความสำราญสวัสดี”
(เกี้ยวจอ) “อาทิตย์ดับลับลาจากหล้าโลก           ยังมีโชคจันทร์สว่างกลางเวหา
ดาวล้อมเดือนเกลื่อนปนบนเมฆา                     ช่างงามตาลิบๆระยิบระยับ
เหมือนเทวามาจับประดับเรียง                        เพ่งพิศเพียงแก้วเก็จเพชรประดับ
นั่งรับลมชมจันทร์แวมแวววับ                         ยินเสียงขับกลอนสวดอวดสำเนียง
จากหนำนาหนำไร่ใกล้ราวป่า                         ลอยลมมากระทบโสตเอื้อนโอดเสียง
ฟังขับขานปานคนธรรพ์ประพันธ์เรียง                 ศัพท์สำเนียงพริ้วไหวในทำนอง
ฟังระรื่นชื่นอุราแสนผาสุข                            ชาวนาไร่ไม่มีทุกข์ไม่มัวหมอง
อยู่พอเพียงเลี่ยงอบายสมใจปอง                     ขอสนองชักนิยายให้ท่านชม
เอ่ย สาวเหย ขอสนองชักนิยาย เอ่ย ให้ท่านชม
(ตั้งเมือง ออกรูปเจ้าเมือง มเหสีปักหันหน้าเข้าหากัน)
“อดีเตเวลามาแต่หลัง                               ตำนานยังหนังยกเรื่องถึงเมืองใหญ่
กำแพงป้อมล้อมรอบขอบเวียงชัย                   มีโคมไฟแสงสว่างยามกลางคืน
ประชาชนคนในนอกการออกเข้า                    ตั้งแต่เช้าจนเย็นย่ำค่ำห้ามฝืน
ปิดประตูอยู่ยามตามป้อมปืน                         ทหารยืนกะเกณฑ์ตามเวรยาม
หมู่ประชาหน้าใสมีใจสุข                            ต่างชาติไม่คามคุกด้วยเกรงขาม
มีกิจการหลายประเภทในเขตุคาม                   มีอารามมีพระอริยะสงฆ์
มีปราสาทราชวังตั้งสง่า                             สูงเสียดฟ้าสามยอดเรียงเคียงดำหรง
สี่ยอดรองต้องตำหรับประดับรงค์                    กระษัตริย์ทรงครองเวียงเพียงเทวิญ
ที่ห้องหับประดับแท่นที่บรรทม                      ปูลาดพรหมกะมะหยีลายสีศิลป์
ประตูต่างกางกั้นม่านลินิน                           กนกศิลป์ลวดลายไว้กรอบตู
เหนือประตูประดับเพชรแกมเก็จแก้ว                ดูเพริดแพร้วพราวระยับทับทิมหรู
เป็นรูปทรงลีลาช่างน่าดู                             ชื่นชุ่มชูฤทัยท้าวเจ้าเวียงวัง
ท้องพระโรงโถงที่วินิจฉัย                           บัลลังก์ใหญ่จัดสร้างไว้ข้างหลัง
ที่ประชุมขุนนางบางคราครั้ง                        เจ้าจอมวังทรงประทับรับแขกเมือง


ทั้งเมืองขึ้นเมืองออกนอกประเทศ                 มิตรต่างเขตต่างคามนามกระเดื่อง
พวกพ่อค้าวานิชมิตรต่างเมือง                      เฝ้าบาทเบื้องมหาราชาไทย
ต่างถวายของขวัญบรรนาการ                      พระองค์ท่านปรีเปรมเกษมใส
ทรงปกปักรักชนทุกคนไป                         ทั้งเทศไทยมาพี่งพาพระบารมี
สมที่เป็นมหาอาณาจักร                            เกียรติศักดิ์ความเรื่องรุ่งของกรุงศรี
นามเมืองหลวงเวียงสุวรรณราชธานี                พระภูมี “อาทิตย์ธิราช” องค์ราชา
มเหสีเป็นที่รักของจักรพรรดิราช                   พระนาม”มาศวิมล”เสน่หา
นามโอรส”ยศไกร”องค์เจ้าฟ้า                     ราชธิดา”วิลัยทิพย์”เทพเทพิน
พอรุ่งแจ้งแสงทองสาดส่องฟ้า                     พระราชาทรงคิดฤทัยถวิล
ทรงปรึกษาราชินีตามระบิล                         พระภูมินทร์ทรงห่วงใยในบ้านเมือง
ด้วยพระองค์ทรงฤทธิ์อาทิตย์ธิราช                  กับนงนาถมาศวิมลกังวลเรื่อง
พระโอรสยศไกลไปจากเมือง                      เสด็จเบื้องทักษิณแผ่นดินพุทธ
ทรงศึกษาศาสนาลาผนวช                         ท่านทรงบวชหวังหลุดพ้นจนที่สุด
เจอพระดีอาจารย์ดังเลยตั้งจุด                     เพื่อหวังหลุดถึงขั้นวันนิรวาณ
ยังแต่องค์พระธิดาถึงกล้าแกร่ง                    เป็นสตรีใครจะเกรงในราชฐาน
แม้นสิ้นพ่อก็ขาดราชการ                           ผู้สืบสานสะบั้นฉันทุกข์ใจ
ส่วนธิดาสวยใสวิลัยทิพย์                          เพิ่งยี่สิบทิพย์เริ่มเป็นผู้ใหญ่
คนรู้จักรักนางทั้งเวียงชัย                           ครั้นจะให้สืบวงศ์คงทบทวน
ด้วยทำเนียมสืบสานการครองราช                  ประวัติศาสตร์ผู้หญิงครองต้องผันผวน
ถูกครอบงำย่ำยีเสียกระบวน                        เห็นสมควรโอรสาต้องลาพรต
จัดกระบวนไปชวนนิมนต์สึก                        แล้วจารึกตราสารการกำหนด
มอบสมบัติราชฐานประทานยศ                    ให้ปรากฎยศไกรพระราชา
(บทเจรา เจ้านายพูดภาษากลาง ไพร่เสนาพูดภาษาถิ่นใต้)
พระเจ้าอาทิตย์ธิราช “อันข้าพเจ้ามีนามว่า พระเจ้าอาทิตย์ธิราช และนี่มเหสีหรือพระราชินีพระนางมาศวิมล ได้ปกครองประเทศสุวรรณภูมิ มีเวียงสุวรรณเป็นเมืองหลวง มีโอรสองค์หนึ่งคือเจ้าฟ้ายศไกร และมีธิดาองค์หนึ่งคือ เจ้าหญิงวิลัยทิพย์ “เอ่อ นี่พระนาง ฉันก็เปรียบเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง จะพังมิพังก็วันนี้พรุ่งนี้ ถ้าไม่มีฉันเสียคนหนึ่ง แล้วใครจะปกครองแผ่นดิน ใครจะสืบทอดราชสมบัติ มีพระโอรสคนเดียวก็ไปบวชพระ ไม่ยอมลาสึกเสียที ไปพูดกี่ครั้งๆก็ไม่มีท่าว่าจะลาสิขาเสียที

 

จะหวังให้ลูกหญิงขึ้นครองราช ก็กลัวจะเกิดความระส่ำระสาย ทั้งภัยภายนอกและภายในราชอาณาจักร เออ คิดแล้วกลุ้ม พรุ่งนี้ฉันจะเดินทางไปหาพระยศไกร นิมนต์ให้ลาสิกขาบทออกมาครองราชสมบัติ ขอร้องให้เห็นแก่ชาติบ้านเมือง ให้เห็นแก่ไพร่ฟ้าประชาชน พระนางมีความเห็นเป็นประการใด
พระนางมศวิมล “ถูกต้องแล้ว เพคะ เสด็จพี่ พระองค์ลองไปขอร้องอีกสักครั้ง ถ้าหากไม่สำเร็จ ก็อย่าไปรบกวนเคี่ยวเข็ญเลย นะเพคะ พลอยโมทนาสาธุ ในผลบุญกุศลที่ท่านบำเพ็ญดีกว่า อย่างไรเสียลูกวิลัยทิพย์ก็ป็นที่ชื่นชมของพสกนิกตลอดจนข้าราชการ ทั้งทหารและฝ่ายพลเรือน ทุกคนทุกฝ่ายต่างจงรักภักดีต่อพระองค์ตลอดถึงพระราชวงศ์ ไม่มีเสื่อมคลาย ให้ลูกหญิงบริหารราชการ ในตำแหน่งเจ้าฟ้ามาหาอุปราชไปก่อน รอให้พระยศไกรลาสิขาบท บางครั้งบางโอกาศ ให้ลูกหญิงปฎิบัติหน้าที่แทนพระองค์บ้าง เพื่อแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นะเพคะ เสด็จพี่”
พระเจ้าอาทิตย์ธิราช “วันนี้ไม่เห็นลูกหญิงวิลัยทิพย์ออกมาเฝ้าเหมือนทุกวัน ไปไหนล่ะ”
พระนางมาศวิมล “วันนี้ลูกหญิงบอกหม่อมฉันว่า จะออกไปสนามฝึกวิชาทหาร เธอจะฝึกอาวุธให้ชำนาญทุกอย่าง เพคะ
พระเจ้าอาทิตย์ธิราช “อ้ายพูน อ้ายพูนอยู่ไหน เข้ามานี่สิ”
อ้ายพูน “กราบถวายบังคม หม่อมพ่อ อาญาไม่พ้นเกล้า หม่อมพ่อทรงเรียกเกล้ากระหม่อม เพื่อเรียกใช้สอยไหรไม่ทราบ โพ่ม”
พระเจ้าอาทิตย์ธิราช “ข้าอยากถามนายพูนว่า เคยเห็นลูกหญิงฝึกอาวุธบ้างหรือไม่ และมีผู้หญิงหรือทหารหญิงมาร่วมฝึกด้วยกี่คน ตอบมาทีละข้อๆ”
อ้ายพูน “ อาญาไม่พ้นเกล้า ทรงถามเหมือนรถด่วน ยาวเฟื้อย เกล้ากระหม่อมเคยเห็นหลายครั้งแล้ว องค์หญิงไปร่วมฝึกกับทหารที่เกณฑ์มาใหม่ องค์หญิงให้ปฎิบัติกับองค์หญิงให้เหมือนกับทหารทั่วๆไป ไม่ยอมให้ครูฝึกยกเว้นเป็นอันขาด มีผิดก็ต้องทำโทษ อีกอย่างที่หม่อมพ่อถามว่า มีทหารหญิงกี่คน ตอบว่ายังไม่มีในตอนนี้ แต่กำลังประกาศรับผู้หญิงมาฝึกเป็นทหาร รับผู้หญิงอายุ 18ปีถึง 25 ปี จะตั้งกองหหารหญิง โพ่ม
พระเจ้าอาทิตย์ธิราช “อย่างนี้เทียวรึอ้ายพูน เอ่อ อ้ายพูน พรุ่งนี้เตรียมราชรถ จัดกระบวนไว้ให้พร้อม ข้าจะไปวัดสายธารธรรม เขตเมืองชัยบุรี จะไปหาพระยศไกร
อ้ายพูน “หม่อมพ่อจะไปนิมนต์ให้พระเจ้าฟ้าสึกเล่าเหอ หม่อมพ่อ ไปหลายหนแล้ว ไม่ได้ผลสักที ต้องเสด็จไปเล่า ไปแค่นให้พระโอรสมาเป็นเจ้าแผ่นดิน ไม่น่าไปเคี่ยวเข็ญ

 

หมายเลขบันทึก: 551486เขียนเมื่อ 22 ตุลาคม 2013 11:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 ตุลาคม 2013 14:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ลูกจะกลับมาอ่านนะคะ 

ณ เวลานี้ยุ่งกับหนูเบสต์มากค่ะ

ของดี + มีคุณค่า ที่คนไทยควรอนุรักษ์ไว้ค่ะ...ขอบคุณค่ะ ลุงเขียน...

ขอขอบคุณ   คุณชยพร แอครัจน์

               คุณวอญ่า

                คุณจอย

                คุณบุษยมาศ

                คุณอักขณิช

                ไบร๊ท์ลิลลี่

      ขอบทุกท่านที่ให้กำลังใจครับ

ขอบคุณจ้ะ ที่นำมาฝากกันจ้ะ

ขอขอบคุณ  คุณดร.พจนา แย้มนัยนา

               คุณมะเดื่อ

        ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท