ลาพัก..อยู่กับครอบครัว


ที่ผ่านมาหลายเดือน ผมไม่ได้กลับไปสงขลาเลย จึงทำเรื่องลาพักผ่อนก่อนสิ้นปีงบประมาณ (สิ้นเดือนกันยายน)และออกเดินทางจากปทุมธานีในเย็นวันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ก่อนออกเดินทาง ผมได้ทำภาระกิจการดูแลห้องสอบตามคำสั่งราชการเป็นที่เรียบร้อย และรีบตรวจข้อสอบให้เสร็จ รวบรวมคะแนนเบ็ดเสร็จ ส่วนการส่งคะแนนนั้นค่อยว่ากันหลังจากมหกรรมการสอบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องงานนัก ระหว่างการต้องใช้ชีวิตกับครอบครัว, ผมเห็นใจผู้ที่มาเป็นคู่ชีวิตของผมเป็นอย่างยิ่ง เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรผมจะได้กลับบ้าน ผมได้แต่บอกเธอว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแต่ให้เราฝึกฝนตัวเอง เพราะมันไม่ยากอะไรกับการที่ผมจะยื่นใบลาออกแล้วกลับไปอยู่กับครอบครัว เพียงแต่จะให้ผมไปทำอะไร อันที่จริง คนแต่ละคนมีความสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ เพียงให้เวลากับการเรียนรู้ ดังนั้น จึงไม่น่ากังวลกับเรื่องใดๆ, ชีวิตของผม ผมคิดว่า ผมอยู่คนเดียวมามากกว่าอยู่หลายคน จึงกลายเป็นปัญหาทางจิตวิทยาและสังคมวิทยา แต่ผมคิดว่า ไม่ได้เป็นปัญหาในทางปรัชญาและศาสนา ตลอดถึงการศึกษา (ตนเอง) อย่างไรก็ตาม ผมมักถูกมองจากสังคมว่า คิดอะไรประหลาด คิดในสิ่งที่คนไม่คิด ซึ่งผมทราบดี และคู่ชีวิตของผมก็มีข้อสังเกตไม่แตกต่างจากที่ว่ามานี้ ข้อเสียของการคิดเองเออเองคือ การเชื่อมั่นว่าตนคิดถูก และปฏิเสธความคิดอื่น แต่ผมก็สังเกตอีกว่า ความคิดที่เสนอออกไปนั้น มีคนบางคนเห็นด้วยและเข้าใจ เพียงแต่คนแบบนี้มักเป็นคนนิ่งๆไม่ชอบแสดงตัวต่อสังคม ช่วงหลังมานี้ ผมพยายามนิ่ง ไม่เสนอความเห็นใดๆออกสู่รอบข้าง เพราะไม่มีประโยชน์ใดๆ และให้มองทุกอย่างว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไป ไม่มีอะไรยั่งยืน แม้ความคิดที่เราคิดว่าเราเชื่อว่าถูกต้อง ก็ไม่ใช่ความจริง, ดูๆแล้ว การไม่คิดอะไรเลย การไม่ทำอะไรเลยน่าจะดีไม่น้อย (การทำโดยไม่กระทำของเหลาจื้อ)

ผมจองรถที่จะออกเวลา ๑๗.๑๕ น. เป็น vip24 ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว (สังเกตได้ว่าพฤติกรรมแบบนี้คือความแปลกแยกของคน อาจโต้แย้งแนวคิดที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม) เดิมทีจะไม่เอาบริษัท S เพราะเคยสัมผัสการถูกเอารัดเอาเปรียบมาแล้วมากกว่า ๒ หน ทราบมาว่า เส้นทางเดินรถสาย กรุงเทพฯ-สงขลานั้น ใช้วิธีการสัมปทาน ดังนั้น จึงคล้ายกับการรวบเบ็ดเสร็จ รัฐอาจได้กำไรมาก แต่ประชาชนมีตัวเลือกที่จะบริโภคน้อย ผมจองรถอีกบริษัทหนึ่ง แต่ตั๊วกลายเป็นบริษัท S จึงนึกเสียดาย แต่เมื่อจองแล้วก็จอง เมื่อถึงเวลารถใกล้จะออก ผมรีบเดินไปขึ้นรถ กลายเป็นรถ กรุงเทพฯ-สุไหงโกลก เข้าไปข้างใน เบาะที่นั่งเก่ามากๆ หมอนเล็กก็แสนจะเก่า ทีวีเพื่อความบันเทิงเป็นรุ่นเก่า มีการนำอลูมิเนียมมาซ่อมแซมทีวี ทำให้ผมนึกถึงผู้บริโภคปลายทางของรถ ที่จำยอมต้องบริโภคสินค้าแบบนี้ทั้งที่จ่ายเงินเท่ากันกับสินค้าระดับเดียวกัน ผ่านไปเวลา ๑๗.๓๐ น. รถยังไม่ออกตามเวลา ทำให้นึกถึงข้อความที่ว่า "รถเมล์ เรือไฟ มันต้องไปตามเวลา" และนึกถึงรถตู้สุราษฏร์ธานี-ชุมพรเมื่อสิบปีก่อน (ปัจจุบันไม่ทราบแล้ว) ต้องรอให้คนเต็มก่อนล้อจึงจะเลื่อน ผมรอจนถึงเวลา ๑๗.๔๕ น. จึงเดินลงจากรถและถามเจ้าหน้าที่บริการในรถว่า ตกลงรถออกเวลาเท่าไร ๑๗.๑๕ น. หรือว่า มากว่า ๑๘.๐๐ น. เธอมองดูนาฬิกาที่ข้อมือและบอกว่า นี่แหละค่ะ กำลังจะออก ผมถามซ้ำว่า "กำลังจะออกใช่ไหม ผมจะได้ไม่ต้องไปคืนตั๋วและซื้อตั๋วใหม่" ผมมานั่งทบทวนตัวเองภายในรถ "นี่คืออัตตา แปลกแท้ สมัยก่อนนั้น ผมรอได้ รถจะออกเวลาเท่าไร ออกตอนไหน ผมรอได้ แต่ทำไมเดี่ยวนี้ผมรอไม่ได้ เห็นได้เลยว่า นิสัยเปลี่ยนไป จากการยอมเป็นการไม่ยอม นั้่นคือ จากแล้วแต่เขา กลายเป็นแล้วแต่เรา ล้วนแต่อัตตาทั้งสิ้น" ไม่นานมีพนักงานชายประจำรถอีกคนหนึ่งเดินมาที่ผม และบอกให้ผมทราบว่า "ถ้าอยากทราบว่ารถจะออกเวลาเท่าไร ขอให้ไปถามที่ท่าปล่อยรถ" ผมถามว่า "อยู่ตรงไหน" เขาชี้ให้ดู ผมจึงเดินลงจากรถและัเดินไปถาม ดูเหมือนแต่ละคนไม่ได้ใส่ใจต่อคำถามขอผม ซึ่งผมก็ถามซ้ำอีกว่า "ตกลงรถจะออกเวลาเท่าไร ถ้ายังไม่ออก ผมจะได้คืนตั๋วและซื้อตั๋วใหม่่" ดูเหมือนว่า พนักงานที่ไปบอกผมก็รอคอยคำตอบเหมือนกันว่า จะออกรถเวลาเท่าไร หญิงพนักงานคนหนึ่งบอกว่า "นี่กำลังติดต่ออยู่ว่าจะปล่อยรถได้หรือยัง" ไม่นานจึงได้คำตอบว่า ปล่อยได้เลย ผมจึงเดินขึ้นรถไปนั่งประจำที่ พนักงานประจำรถรีบขึ้นรถประจำที่เช่นกัน เช้าตรู่รถประจำทางจึงถึงท่ารถ ผมโทรหาคู่ชีวิตเพื่อให้มารับ เธอบอกว่ารอสักครู่ประมาณยี่สิบนาที ผมไม่อยากนั่งรออยู่ที่ท่ารถ จึงแอบ (ต้องแอบ เพราะถ้าบอกว่าจะเดินไปก่อน คู่ชีวิตของผมจะไม่พอใจได้) เดินไปเรื่อยๆ และไปรออยู่ที่โรงพยาบาลฯ จากนั้นจึงโทรหาเธอเพื่อจะบอกว่า ไม่ต้องเข้าไปรับที่ขนส่งแล้ว ให้มาที่ทำงานได้เลย ผมโดนเอ็ด "เดินอีกแล้ว ทำไมถึงทำอย่างนี้" ผมบอกว่า "ก็อยากเดิน ได้เดิมแล้วเป็นการยืดเส้นยืดสาย ปวดขาทั้งคืน ได้เดินแล้วผ่อนคลายลงได้มากเลย" คำตอบของผมทำให้เธอเบาใจลง ผมจับนาฬิกา ประมาณ ๑๕ นาทีที่ยืนอยู่ที่โรงพยาบาลฯเพื่อรอเธอมาทำงาน และผมก็ขับรถกลับไปบ้าน

การลาพักผ่อนนี้ จริงๆแล้วผมอยากกลับมานั่งเขียนบทความสักบทที่บ้าน แต่น่าเสียดาย วันนี้ผมต้องเดินทางกลับปทุมธานีอีกแล้ว ด้วยรถประจำทางบริษัท P ซึ่งออกวันเว้นวัน (สงสัยว่าสัมปทานได้น้อยกระมัง) เท่าที่ผ่านมากับการเดินทางด้วยรถประจำทางสายใต้ ผมพอใจกับบริษัทนี้มากกว่า

กลับมาอยู่กับครอบครัว มีเวลากับครอบครัวมากขึ้นต้องยอมรับว่า น้ำหนักขึ้นเยอะเลยทีเดียว โดยวันอาทิตย์น้องสะใภ้ซ้อมรับปริญญาที่ ม.ทักษิณ อยู่ติดกับ มรภ.สงขลา เราเตรียมของไปนั่งกินกันด้วย การจัดการของมหาวิทยาลัยดูตระการตาอยู่เหมือนกัน เห็นท่านอาจารย์อุทัยนั่งอยู่ แต่ผมไม่ได้เข้าไปทักทาย รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง อร่อยด้วยการไปกินอาหารเที่ยงนอกบ้านที่สวนอาหารสุวรรณมณี ซึ่งเป็นญาติฝ่ายคู่ชีวิตของผมเอง สิ่งที่ลิ้นรับรสและทำให้ติดใจคือ "น้ำพริกแมงดา" ผักสด แม่บอกว่า มาร้านนี้ทีไรต้องสั่งน้ำพริกแมงดานี่แหละ ผมอยากซื้อไปกินที่ปทุมธานีเหลือเกิน แต่มาคิดว่า "สุดท้ายก็ต้องหมด และอยากกินอีกไม่สิ้นสุด" ดังนั้น อย่าซื้อเลย กินแล้วก็เท่านั้น ให้เหลือแต่ความทรงจำก็พอ จากนั้นนำพาหลานไปเที่ยวบนเขาคอหงส์ ชมวิวสวยทีเดียว วันถัดมา แม่เฒ่ามาจากควนเนียง ชวงค่ำจึงชวนกันไปกินอาหารที่ร้านอาหารบนเขา คนน้อยจัง สั่งอาหารไม่กี่อย่าง อาหารไม่ได้ราคาสูงอะไร เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ แต่รสชาติน่าจะเหมาะกับชาวมาเลมากกว่า วันถัดมาไปนั่งกินกันที่ลานถนนร้้ายลุง....แถวหอนาฬิกา (จำไม่ได้) เป็นอาหารทะเล เมนูที่ถือว่าต้องแนะนำคือปลาสำลียำมะม่วง รอบนี้พร้อมหน้าพร้อมตา อา แม่ ผม น้องบ่าว น้องสะใภ้ หวานใจของผม และหลาน ถัดมาสองวันหวานใจชวนผมไปกินที่....หัวละ ๓๐๐ บาท แต่น่าเสียดาย ที่อาหารไม่สมกับชื่อ (อาหารบางชนิดลิ้นรับได้ว่ามีกลิ่นตุ) จากนั้นสองวัน เราไปรับแม่เฒ่าที่ควนเนียงและไปกินอาหารบ้านๆที่ปากบาง ตั้งใจว่าไปกินผัดปูดำผงกะหรี่ แต่น่าเสียดายที่ไม่ีมี แล้วเมื่อวานเป็นวันอาทิตย์ หวานใจของผมไปตลาดนัดและซื้อพักผัก มะนาว กุ้ง เห็ดแครง มาทำยำ อร่อยลิ้นดีแท้ อย่างไรก็ตาม มารอบนี้กินกับกินจริงๆ น้ำหนักขึ้นไปเยอะ อันที่จริงคือเราเบื่ออาหารกันมากๆ เมื่อมีสมาชิกมาเพิ่มคือผม จึงเป็นข้ออ้างว่าจะออกไปหาอาหารกินนอกบ้านกัน อาที่ไม่ค่อยยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส แม่ดูมีชีวิตชีวา แม่เฒ่ายิ้มบ่งบอกถึงความสดชื่น หวานใจบอกว่า "เป็นบุญแท้" ที่ทำให้ท่านเหล่านั้นมีความสุข ได้อิ่มหนำสำราญกัน

เย็นนี้ผมต้องเดินทางกลับปทุมธานีอีกครั้งเมื่อคืนก่อนหลับ หวานใจเปรยขึ้นว่า "เมื่อไรเราจะได้อยู่ด้วยกันสักที" ผมได้แต่นิ่ง

หมายเลขบันทึก: 549803เขียนเมื่อ 30 กันยายน 2013 11:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ตุลาคม 2015 10:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

...ชื่นชม และเป็นกำลังใจนะคะอาจารย์

ชีวิตกับการกินครับท่านพี่ ดร.พจนา

อ่านแล้วได้"อมยิ้ม"มากเลยค่ะ ชอบ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท