สรุปแนวคำตอบอัตนัยรุ่น 39 ฟ้องแพ่ง

*ข้อ 1. โจทก์ทั้งสองเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายเอก มกรา ผู้ตาย ปรากฏตามสำเนาใบสูติบัตรของโจทก์ทั้งสองและผู้ตาย เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1 ถึง 3

*นายเอก มกรา ผู้ตาย เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2552 รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาใบมรณบัตรของนายเอก มกรา ผู้ตาย เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4

*จำเลยเป็นภรรยาของนายเอก มกรา ผู้ตาย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2535 และเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามคำสั่งของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552 ในคดีหมายเลขแดงที่ 222/2552 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาใบสำคัญการสมรสและคำสั่งศาล เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5 และ 6

*ข้อ 2.นายเอก มกรา ผู้ตาย มีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินสองแปลงคือ

1.ที่ดินโฉนดเลขที่ 111เลขที่ 11 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย เนื่องจากบิดาของผู้ตายยกให้ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538 มีราคา 40,000,000 บาท

2.ครึ่งหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 222 เลขที่ดิน 22 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 8 ไร่ มีราคา 80,000,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างผู้ตายกับจำเลย เนื่องจากผู้ตายซื้อมาระหว่างสมรสเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 ที่ดินแปลงนี้จึงเป็นมรดกของผู้ตายคิดเป็นเนื้อที่ได้ 4 ไร่ คิดเป็นราคา 40,000,000 บาท

*จำเลยได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงในส่วนที่เป็นมรดกของผู้ตาย ดังกล่าว จากชื่อผู้ตายเป็นชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกไว้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 และ 8

*ผู้ตายมีทายาทคือโจทก์ทั้งสองและจำเลย ก่อนตายผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ดังนั้นทรัพย์ มรดกของผู้ตายจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครึ่งหนึ่งและจำเลยครึ่งหนึ่ง

*ข้อ 3. หลังจากที่จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ตามคำสั่งของศาลแล้ว จำเลยไม่จัดการแบ่งมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองได้ติดตามทวงถามให้จำเลยจัดการแบ่งมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองแต่จำเลยเพิกเฉย ครั้งสุดท้ายโจทก์ทั้งสองได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกที่ดินมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยได้รับแล้วยังคงเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาหนังสือทวงถามและใบตอบรับของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 8 และ 9

*ข้อ 4. การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องจัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกที่ดินมรดกของผู้ตายให้แก่โจทก์ทั้งสองดังนี้

โฉนดเลขที่ 111 เลขที่ดิน 11 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขต กรุงเทพมหานคร คนละหนึ่งในสี่ส่วนคิดเป็นเนื้อที่คนละ 1 ไร่ ซึ่งมีราคาส่วนละ 10,000,000 บาท และ

โฉนดเลขที่ดิน 22 ตำบลลาดยาว กรุงเทพมหานคร คนละหนึ่งในแปดส่วนคิดเป็นเนื้อที่คนละ 1 ไร่ ซึ่งมีราคาส่วนละ 10,000,000 บาท

หากจำเลยไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองขอให้ใช้คำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากจำเลยกับโจทก์ทั้งสองตกลงแบ่งแยกส่วนที่ดินกันไม่ได้ขอให้นำที่ดินทั้งสองแปลงออกขายทอดตลาดและนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันแทน หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้จำเลยชำระราคาที่ดินตามส่วนให้แก่โจทก์แทนคนละ 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระให้แก่โจทก์ทั้งสองครบถ้วน ซึ่งคิดเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้เป็นเงิน 40,000,000 บาท

*โจทก์ทั้งสองไม่มีทางบังคับจำเลยได้ จึงต้องนำคดีฟ้องเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งบังคับจำเลยต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายคำฟ้อง

*ข้อ 1. ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 111 เลขที่ดิน 11 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสี่ส่วน และโฉนดเลขที่ 222 เลขที่ดิน 22 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในแปดส่วน หากจำเลยไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสอง ขอให้ใช้คำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และหากจำเลยกับโจทก์ทั้งสองตกลงแบ่งแยกส่วนที่ดินกันไม่ได้ขอให้นำที่ดินขายทอดตลาดและนำเงินที่ขายมาแบ่งกันแทน

*ข้อ 2. หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงตามข้อ 1 ให้แก่โจทก์ทั้งสองได้ ขอให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองแทนคนละ 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยชำระให้แก่โจทก์ทั้งสองครบถ้วน

*ข้อ 3. ขอให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งสอง

หมายเหตุที่ทำ * คือย่อหน้า