เพลงเมฆา


"ราตรีเพิ่งผ่านมินาน ดาวแต้มฟ้า ฉันเห็น ความงามมิได้มีแค่เมฆขาว"
หมู่บ้านเมฆาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่บนยอดเขาสูงในตำนาน คนที่จะเดินทางไปถึงหมู่บ้านนี้ได้จะต้องปีนเขาที่สูงเกือบจะที่สุดในโลกขึ้นไป โดยก่อนที่จะขึ้นไปถึงหมู่บ้าน จะมีกลุ่มเมฆขาวฟ่องโอบล้อมส่วนที่เป็นยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเอาไว้ และมีคำบอกต่อๆ กันว่ามีภูตผีคอยอารักขาไม่ให้ใครขึ้นไปได้

ที่หมู่บ้านเมฆา มีพันธุ์ไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านคือต้นจักรวาล มีลักษณะของต้นและใบคล้ายกับสนคริสต์มาส ให้ผลจักรวาลเป็นสีสุกสว่างเหมือนดาวเสาร์ รวมทั้งมีวงแหวนล้อมรอบอยู่ทุกผล ชาวหมู่บ้านเมฆาทุกคนจะมีต้นจักรวาลปลูกอยู่ที่บ้านของตัวเองบ้านละหนึ่งต้น และมันพิเศษตรงที่ว่าต้นจักรวาลนี้จะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ หากไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ ทุกวัน ดังนั้น ภารกิจประจำวันของชาวหมู่บ้านจักรวาลไม่ว่าใครจะประกอบอาชีพใดก็คือ ทุกเช้า พวกเขาจะต้องตื่นขึ้นมาร้องเพลงใหม่ๆ ให้ต้นจักรวาลที่บ้านของตัวเองฟังทุกวัน

มันก็คงจะดีอยู่หรอกถ้าทุกคนในหมู่บ้านสามารถแต่งเพลงได้เอง แต่เพราะว่าทั้งหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนหลายสิบครอบครัวนั้น มีคนที่สามารถแต่งเพลงได้อยู่แค่สองคนเท่านั้นเอง คนหนึ่งก็คือ "มหาคีตะ" ซึ่งอายุได้เจ็ดร้อยปีแล้ว เขามีบุคลิกที่ทะนงตน หนวดเคราขาวโพลน ชอบแต่งเพลงแนวเกี่ยวกับจารีตเก่าๆ แต่เขากลับไม่ถูกกันกับนักแต่งเพลงหนุ่มอีกคนที่ชื่อ "ประพันธ์แป"

ประพันธ์แป อายุเพียงสามสิบปีเศษ ชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าประหลาดๆ และมักจะแต่งเพลงขึ้นโดยมีเนื้อหาที่แตกต่างไปจากความเชื่อเดิมๆ ของหมู่บ้าน กับอีกหลายสิบเพลงของเขาที่เฝ้าแต่กล่าวชมทุ่งเมฆเบื้องล่างหมู่บ้านอย่างหาสาระไม่ได้ แต่เพราะเขาแต่งเพลงได้เร็วกว่ามหาคีตะมาก ยกตัวอย่างว่าถ้ามีเพลงใหม่เกิดขึ้นสิบเพลงในรุ่งเช้า เพลงเหล่านั้นจะเป็นเพลงของประพันธ์แปเสียแปดเพลง และมหาคีตะบอกว่าสิ่งนั้นกำลังนำพาหมู่บ้านเมฆาไปสู่ความเสื่อมทรุดทางสังคม แม้ว่าเพลงของประพันธ์แปจะช่วยให้ต้นจักรวาลเติบโตขึ้นได้เหมือนกัน และถ้าลำพังมหาคีตะคนเดียว เขาจะไม่สามารถแต่งเพลงได้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันก็ตาม

สิ่งหนึ่งซึ่งมหาคีตะมักจะยกขึ้นข่มประพันธ์แปอยู่เนืองๆ ก็คือ ต้นจักรวาลที่ได้ฟังเพลงของเขาทุกเช้า มักจะให้ผลดกอย่างชนิดต้นที่ฟังแต่เพลงของประพันธ์แปเทียบไม่ติด

สรรพคุณของผลจักรวาลคือ คนที่ได้รับประทานจะอารมณ์ดีไปเจ็ดวัน และในทางตรงข้าม ถ้าไม่ได้รับประทานผลจักรวาลเกินเจ็ดวัน เขาเหล่านั้นจะตัวหดลงเหมือนต้นจักรวาลที่ไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ นั่นเอง

มีนักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดบนพื้นโลกหลายคนพยายามจะปีนขึ้นไปสู่หมู่บ้านเมฆา พวกเขาเหล่านั้นต้องการพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแต่งเพลงใหม่ๆ ของหมู่บ้านเมฆา แต่ถึงแม้จะมีนักแต่งเพลงหลายคนเคยขึ้นไปถึงหมู่บ้านได้สำเร็จ(เพราะที่จริงไม่มีภูตผีเฝ้าก้อนเมฆอยู่อย่างที่เข้าใจ) พวกเขาเหล่านั้นก็มักจะอยู่ไม่ได้ มีขนาดตัวลดลงเหลือเท่ากับมดเล็กๆ นั่นเพราะไม่มีต้นจักรวาลเป็นของตนเอง

เช้าของวันหนึ่ง เพิ่งมีนักแต่งเพลงจากพื้นโลกคนใหม่ปีนฝ่าคลื่นเมฆขึ้นถึงหมู่บ้านเมฆาได้สำเร็จ เขาเป็นผู้ชายตัวเล็กขนาดสักเจ็ดสิบเซนติเมตรเท่านั้นเอง และไม่ใช่นักแต่งเพลงที่เคยโด่งดังสูงสุดบนพื้นโลกเช่นนักแต่งเพลงคนก่อนๆ แต่เขาคนนี้เป็นผู้ที่มีความเพียรมาตลอดทั้งชีวิต เพราะเขาคิดอยู่เสมอว่าเขาตัวเล็กกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ทั้งที่เป็นนักแต่งเพลงและไม่ใช่ ยิ่งเมื่อตัดสินใจขึ้นไปสู่หมู่บ้านเมฆาในฐานะที่หวังจะเป็นนักแต่งเพลงคนใหม่ หากเขาทำไม่สำเร็จดังหวัง ตัวเขาย่อมจะหดเล็กลงเร็วกว่าคนอื่น นั่นหมายความว่าเขามีเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองสั้นมาก แต่เขาก็ไม่กลัวที่จะถูกทดสอบ เขาคนนี้อายุเพิ่งสิบแปดปี และมีชื่อจริงว่า "กล้าฝัน"

กลางลานหมู่บ้านเมฆาในยามค่ำที่แสงดาวกำลังพริบพราย กล้าฝันที่ยังไม่มีบ้านและไม่รู้จักใครเฝ้ามองอย่างตื่นเต้นอยู่กับความงามของผลจักรวาล เขาเชื่อมั่นว่าในเช้าอีกวัน เพลงที่เขาแต่งจะสามารถให้ผลอันงดงามนั้นออกมาได้เช่นกัน แต่เวลานี้ ตัวเขาเริ่มลดขนาดลงจนเหลือเพียงหกสิบเซนติเมตรแล้ว

จนถึงเวลาเช้า กล้าฝันก็เหลือขนาดตัวแค่สี่สิบห้าเซนติเมตรเท่านั้นเอง กล้าฝันประกาศแนะนำตัวเองกับชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาร้องเพลงในตอนเช้าว่าเขาเป็นนักแต่งเพลง แต่ชาวบ้านไม่ได้สนใจมากนัก ทุกคนต่างก็วิตกอยู่กับขนาดตัวของตนและต้นจักรวาลหน้าบ้าน ทุกคนจึงตั้งใจร้องเพลง

กล้าฝันได้ยินบ้านหลังหนึ่งร้องเพลงของมหาคีตะเพลงแรก เพลงนั้นร้องว่า

"เจ็ดร้อยปีชีวิต ไม่เคยคิดเปลี่ยนความเชื่อ เหนืออื่นใดคือศรัทธา เหนือกว่าชีวิต" ได้ยินดังนั้น กล้าฝันจึงร้องตอบไปว่า

"สิบแปดปีนี้ยังน้อย แต่หวังค่อยศึกษา เจ็ดร้อยปีสั่งสมปัญญา ฉันคารวะ กราบเป็นศิษย์" พอสักพักก็ได้ยินเสียงเพลงของประพันธ์แปกังวานใสมาจากบ้านอีกหลัง เพลงนั้นร้องว่า

"เมฆขาวพราวสี ดุจมณีเมฆา งามนักหนา งามอะไรอย่างนี้" กล้าฝันได้ยินดังนั้น จึงร้องตอบไปว่า

"ราตรีเพิ่งผ่านมินาน ดาวแต้มฟ้า ฉันเห็น ความงามมิได้มีแค่เมฆขาว" ปรากฏว่าต้นจักรวาลทั้งสองต้นนั้นออกผลจักรวาลเต็มต้น จนเจ้าของบ้านทั้งสองหลังรู้สึกว่ากล้าฝันนี่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว พวกเขาจึงแสดงความของคุณด้วยการให้ผลจักรวาลตอบแทน กล้าฝันรับประทานผลจักรวาลแล้วตัวเขาก็โตขึ้น จากสี่สิบห้าเซนติเมตร เป็นเก้าสิบเซนติเมตร เมื่อรับประทานอีกผล เขาก็ตัวโตขึ้นอีกเป็นหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร

ข่าวคราวเรื่องการมาถึงของกล้าฝันเลื่องลือไปทั้งหมู่บ้านในเวลาไม่นาน รวมทั้งล่วงรู้ไปถึงมหาคีตะ กับ ประพันธ์แปด้วย พวกเขาทั้งสองออกเดินทางไปหากล้าฝันพร้อมๆ กันอย่างมิได้นัดหมาย พอไปถึงเห็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีขนาดสูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรนั่งอยู่ท่ามกลางแวดล้อมของชาวบ้าน โดยที่ชาวบ้านแต่ละคนกำลังขอให้กล้าฝันช่วยแต่งเพลงให้ เห็นดังนั้น ทั้งสองนักแต่งเพลงยิ่งรู้สึกไม่พอใจกล้าฝัน ทั้งคู่ออกปากท้าให้โต้เพลงแข่งกัน กล้าฝันที่ตอนนี้สูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรไม่กลัวใคร ออกปากรับคำท้าอย่างลืมตน แต่ด้วยความสามารถที่สั่งสมมานาน ทำให้กล้าฝันยังได้รับชัยชนะอยู่ดี เขาทำให้ต้นจักรวาลออกผลดกไปทุกต้นทั่วหมู่บ้าน จนชาวบ้านกลับรู้สึกไปว่าตอนนี้ มหาคีตะ กับ ประพันธ์แป นั่นแหละที่เป็นตัวประหลาด จนทั้งสองทนความอับอายและพ่ายแพ้ไม่ไหวจึงหนีกลับบ้านไป

เหตุการณ์วันนั้นทำให้มหาคีตะถึงกับตรอมใจจนเสียชีวิต เพราะเดิมก็แต่งเร็วสู้ประพันธ์แปไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งมีกล้าฝันเข้ามา เขาก็หมดความหมาย ฝ่ายประพันธ์แป เขาไม่เคยพบใครที่แต่งเพลงได้ดีกว่าและเร็วกว่า เขาเสียใจมาก จนวางมือจากการแต่งเพลงไปตลอดกาล

หลังจากนั้น กล้าฝันย้ายไปอยู่บ้านของมหาคีตะกลายเป็นนักแต่งเพลงเพียงคนเดียวของหมู่บ้านเมฆา จนเจ็ดร้อยปีผ่านไป ความเร็วในการแต่งเพลงกับคุณภาพของเนื้อเพลงก็เริ่มด้อยลง ถึงตอนนี้ ชาวหมู่บ้านเมฆากับต้นจักรวาลค่อยๆ ตายลงไปทีละต้น ทีละบ้าน ทุกคนเริ่มรู้สึกคิดถึงมหาคีตะ กับ ประพันธ์แป แต่ทั้งที่ประพันธ์แปยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่คิดแต่งเพลงให้ใครอีกนอกจากตัวเอง สุดท้าย ในปีที่แปดร้อย หมู่บ้านเมฆาก็เหลือบ้านอยู่เพียงสองหลัง คือบ้านของกล้าฝัน กับ ประพันธ์แป

ประพันธ์แปค่อยๆ หดเล็กลงจนตายไปก่อนกล้าฝันเพียงแค่วันเดียว ส่วนกล้าฝัน เมื่อตัวของเขาหดลงเหลือเจ็ดสิบเซนติเมตร เขาก็สำนึกอะไรบางอย่างได้ จึงแต่งเพลงเพลงหนึ่งไว้เป็นเพลงสุดท้ายของชีวิต และเป็นสัญลักษณ์ว่าหมู่บ้านเมฆานั้นเคยมีอยู่จริง เพลงนั้นชื่อ "เพลงเมฆา"

"ต้นจักรวาลเติบโตได้ มิใช่ด้วยมือของใครคนเดียว แม้เป็นคนเก่ง แต่เพลงไพเราะเราต้องร้องประสานกัน ใครหวังค้นหาหมู่บ้านเมฆา จงรู้จักรักษาเพื่อนร่วมจักรวาล"
คำสำคัญ (Tags): #เรื่องสั้น
หมายเลขบันทึก: 54540เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 2006 02:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 เมษายน 2012 06:05 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

 

แต่งเก่งจังเลย ชอบเรื่องสั้นเรื่องนี้จัง แฝงปรัชญาสะท้อนอะไรหลายอย่างให้ได้คิด

แต่สิ่งที่อดถามตนเองไม่ได้ขณะที่อ่านก็คือ แรงบันดาลใจอะไร ที่ทำให้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาหนอ ตัวละครแต่ละตัว แทนใครในโลกของนักเขียนผู้นั้น

แต่อย่างไรก็ตาม..ขอสมัครเป็นเพื่อนด้วยสักคนได้ไหม

"ต้นจักรวาลเติบโตได้ มิใช่ด้วยมือของใครคนเดียว แม้เป็นคนเก่ง แต่เพลงไพเราะเราต้องร้องประสานกัน ใครหวังค้นหาหมู่บ้านเมฆา จงรู้จักรักษาเพื่อนร่วมจักรวาล"

ใช่แล้วค่ะ.. เพลงไพเราะต้องร่วมร้องประสานกัน สันติสุขของโลกนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยความรักและสามัคคีของมนุษยชาติเท่านั้น

^__________^

 

k-jira

 ดีใจครับที่คุณชอบ

และในความเป็นเพื่อนนั้น

ยินดียิ่งครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท