เดินตามความเหงา




          เท้าที่เปลือยเปล่าก้าวเหยียบลงบนพื้นกระเบื้องอันเย็นเฉียบในสวนเล็ก ๆ หลังบ้านในยามดึก ที่จันทร์เจ้าดวงน้อยนอนหลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดของผืนฟ้าสีมืดที่แสนกว้างใหญ่ สายลมเย็นหลังฝน พัดนำเอากลิ่นหอมเย็นของลีลาวดีสีขาวนวลมากระทบปลายจมูก ช่างสดชื่นเหลือเกิน ฉันเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ยื่นหน้ารับลมเย็นที่สดชื่นนี้อย่างเต็มใจ ยามนี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีเหลือเกิน  สงบจากผู้คนและเรื่องราวทางโลกอันแสนวุ่นวาย ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่เก่าๆ ตัวเดิมเพื่อชื่นชมจันทร์สวยของคืนนี้ ก่อนจะตั้งคำถามในใจว่ามีคนอีกมากมายแค่ไหนกันนะที่ยังไม่ได้เข้านอนเหมือนกับฉันในยามนี้ พวกเขาทำอะไรอยู่ที่ไหนกันบ้างนะ ที่แน่ๆ คงมียามรักษาความปลอดภัยตามอาคารสถานที่ต่างๆ ทหารหาญทั้งหลาย ที่ต้องคอยเฝ้าระวังภัยให้ทุกคนในแผ่นดิน โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยยามนี้ และนักเดินทางทั้งหลายที่รอคอยการถึงจุดหมายปลายทางสักแห่งในโลกใบนี้ และคนอื่นๆ อีกมากมายทีเดียว แล้วเขาเหล่านั้นนึกคิดอะไรกันอยู่นะ จิตดวงน้อยของพวกเขาไปเกาะเกี่ยวอยู่ที่ใดบ้าง  จะเหมือนจิตของฉันในยามนี้ไหมนะ ที่เกาะเกี่ยวอยู่กับเสียงเพลงไพเราะที่แว่วดังมาจากคอมพิวเตอร์คู่ชีพที่บรรเลงเพลงคู่มากับการทำงานตั้งแต่เช้าวันนี้จนถึงขณะนี้อันเป็นเวลาสองยามกว่าแล้ว  เนื้อหาของเพลงบ่งบอกถึงความปรารถนาดีที่มีต่อคนที่รักและอยู่ห่างไกลกัน  แม้จะไม่ใช่เพลงเก่าๆ ในยุคคุณแม่ที่เขียนด้วยบทกวีแสนสวยในสไตล์ที่ฉันชื่นชอบ  แต่ฟังแล้วก็ไพเราะและซาบซึ้งเพียงพอที่จะปรุงแต่งให้ใจของฉันเกิดความเหงาขึ้นมาได้เหมือนกัน  โดยเฉพาะเนื้อร้องในท่อนที่ว่า.... "อยู่แห่งไหนใต้ฟ้าเดียวกัน ความผูกพันล้นทวี รักและห่วงจากดวงใจดวงนี้ ทุกนาทียามไกล........" ฉันปล่อยใจให้ไหลไปตามความคิดและจินตนาการที่เกิดขึ้น โดยให้เสียงเพลงนี้เป็นสื่อนำทาง ตระหนักรู้ว่ายามนี้ใจของฉันคิดถึงใครคนหนึ่งที่ฉันรัก ภาพต่างๆ เรื่องราว ความรู้สึกดี ๆ ผุดขึ้นมาในใจมากมาย แต่ไม่ว่าจิตจะคิดจะนึกอะไรก็ตามในเวลานี้ ฉันยังคงปล่อยให้จิตถูกปรุงแต่งไปตามที่มันอยากจะเป็น แล้วตามดูมันไปเรื่อย ๆ  ปล่อยใจไปได้สักพัก ก็มาหยุดถามตัวเองว่า นี่เรากำลังเหงาอยู่จริงๆ หรือ ความเหงาคืออะไรนะ ความเหงากับความคิดถึงนี่มันต่างกันอย่างไรนะ ฉันตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ก็ไม่อาจตอบตัวเองได้ชัดเจนว่าเหงาและคิดถึงนั้นแท้จริงมันมีคำจำกัดความอย่างไรกันแน่ จึงได้แต่สรุปให้กับตัวเองว่าสองสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลอันเอื้อต่อกันและกันให้อารมณ์ได้ไปเกาะเกี่ยวเพื่อปรุงแต่งจิตไปต่างๆ นานาก็เป็นได้  แต่ที่สำคัญกว่าการค้นหาความหมายของคำว่า เหงาและคิดถึง ซึ่งชัดเจนที่สุดในใจของฉันเวลานี้กลับกลายเป็นการที่ฉันระลึกรู้ว่าขณะนี้ตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติที่เป็นจริง และกำลังตามดูจิตของตัวเองที่ล่องลอยไปตามเสียงเพลงพร้อมอารมณ์ปรุงแต่งต่าง ๆ นานาว่าจะไปได้ไกลสักเพียงไหน  แล้วเราเคยเหงาครั้งสุดท้ายเมื่อไร จำได้ไหมนะ ฉันถามตัวเองขึ้นอีกครั้งในความมืด  ครั้งนี้ต้องนั่งนึกอยู่นานทีเดียว จึงตอบตัวเองได้ว่า เห็นจะนานเป็นปีๆ เลยทีเดียวที่ไม่เคยรู้สึกเหงา ซึ่งก็อดนึกแปลกใจไม่ได้ว่า ฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานจนป่านนี้ได้อย่างไรกัน โดยไม่รู้สึกเหงาใจ ทั้งทีในอดีตนั้นฉันเคยมีชีวิตที่รายล้อมด้วยเพื่อนฝูง และคนที่รักอีกมากมาย แล้วเพราะอะไรกันนะที่ในปัจจุบันนี้ ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่าถูกความเหงาเข้าครอบงำหรือทำร้ายจิตใจเลย กลับจะเป็นสุขเสียด้วยซ้ำที่ได้อยู่คนเดียว

          ฉันยังคงนั่งตากลมและเฝ้าดูจิตที่วิ่งไปมาอย่างไม่หยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่นานนัก ก็หาคำตอบที่แท้จริงให้กับตัวเองได้ว่าเหตุที่ฉันไม่ค่อยจะรู้สึกเหงา หรือทุกข์ร้อนกับการอยู่คนเดียวนั้น น่าจะเป็นเพราะฉันไม่ได้ยึดติด หรือพึ่งพิงสิ่งใดๆ อีกแล้ว ไม่ว่าจะวัตถุ บุคคลหรือสถานที่ นั่นคงเพราะฉันมองเห็นแล้วว่า การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปนั้น มันเป็นธรรมดาของทุก ๆ สิ่ง จริงดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในเรื่องของ “อนิจจัง” ดังนั้นฉันจึงมักไม่ได้กำหนดตัวเองว่าต้องมีสิ่งนั้น ต้องได้สิ่งนี้ ควรมีคนนั้น หรือไม่มีคนนี้ ในยามนั้นยามนี้ ฯลฯ และเหตุที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาในใจของฉันได้ ก็น่าจะเป็นเพราะจิตของฉันได้พัฒนาขึ้นจากการที่ฉันได้ฝึกเจริญสติภาวนาและปฏิบัติธรรม ด้วยการเดินจงกรม-นั่งสมาธิ สวดมนต์อยู่เป็นประจำ  อีกทั้งฝึกให้มีสติอยู่กับตัวในการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยให้ “สติ” เป็นเสมือนเบรคชั้นดีที่คอยหยุดการปรุงแต่งอารมณ์ความรู้สึก หยุดความยึดมั่น และพึ่งพิงสิ่งอันไม่ยั่งยืนต่างๆ ประกอบกับการหมั่นใช้ข้อธรรมที่สม่ำเสมอในชีวิตประจำวันเป็นระยะเวลายาวนานนั่นเอง (ฝึกทั้งเมื่ออยู่คนเดียว และอยู่ร่วมกับผู้อื่น) ซึ่งนับเป็นผลลัพธ์อันน่าพอใจอย่างยิ่งสำหรับฉัน  เพราะจวบจนถึงเวลานี้ ฉันไม่เคยต้องกังวลหรือกลัวที่ต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามากระทบใจเลยไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์  เพราะตราบใดที่ฉันมี “สติ” ฉันก็จะมีอำนาจเหนือสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้สามารถเลือกที่จะสุขหรือทุกข์ได้ทุกเมื่อ

           ยิ่งดึก อากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ จนทำให้ฉันรู้สึกถึงความเย็นที่กระทบปลายจมูก แล้วไหลเข้าออกเป็นสายไปจนถึงท้อง ฉันยังคงนั่งตามดูความฟุ้งของจิตไปอยู่อย่างนั้น  จิตยังคงว่องไวกว่าอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน ก็ยังวิ่งวนไปมาอยู่ตลอด เดี๋ยวคิดถึงคนที่รัก เดี๋ยวปรุงแต่งไปตามเสียงเพลงกับบรรยากาศที่แสนเงียบสงบ พร้อมๆ กับธรรมชาติแสนงาม เดี๋ยววิ่งมาเกาะอยู่ที่ลมหายใจอันเย็นเฉียบ วิ่งวนเกาะตรงโน้นทีตรงนี้ทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นี่ละหนา คนจึงมักเปรียบเทียบว่าจิตนั้นไวยิ่งกว่าลิงเสียอีก  แต่แม้คนจะรู้ว่าจิตนั้นว่องไวแค่ไหน และแม้จะรู้ว่า "สติ" นั้นเป็นสิ่งเดียวที่จะหยุดความฟุ้งซ่านวุ่นวายของจิตได้ แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ยังละเลย ไม่คิดที่จะขวนขวายฝึกจิตกันเลย ตรงกันข้าม กลับยังหวังได้ หวังเสพสุขจากสิ่งต่าง ๆ อันไม่จีรังอยู่นั่นเอง ชีวิตจึงเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์อย่างไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที  และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือดวงตายังไม่เห็นธรรม ยังมีอวิชชาและขาดสัมมาทิฐิอยู่อีกมาก จึงทำให้ยังไม่สามารถแม้แต่จะใช้สติประคองชีวิตประจำวันให้อยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างเป็นสุข โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นได้ด้วยซ้ำไป

          ถึงเวลานี้ฉันดึงจิตกลับสู่ปัจจุบัน ขยับกายลุกขึ้น เงยหน้ามองดูพระจันทร์ดวงน้อยที่ยังคงฉายแววอันงดงามอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอีกครั้ง  ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน ทิ้งความงดงามนั้นไว้เป็นอดีต และไม่ลืมที่จะกราบพระ สวดมนต์ก่อนนอน เพื่อทบทวนคำสอนของพระพุทธองค์ พร้อมแผ่บุญกุศลไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก่อนอำลาจากความเหงาและค่ำคืนอันแสนงามนี้ ด้วยการเข้านอนอย่างมีสติ

 

          ราตรีสวัสดิ์ค่ะ




หมายเลขบันทึก: 544563เขียนเมื่อ 4 สิงหาคม 2013 01:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2014 19:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ประทับใจและเข้าใจความรู้สึกนี้นะคะ เหมือนใครสักคนที่ดิฉันรู้จักค่ะ แต่ไม่รู้ว่าคุณคือ ใครค่ะ

 

ฝันดีค่ะ

สวัสดีค่ะ

*ตามดู/รู้จัก  "ความเหงา" อย่างมีคุณค่า 

*ชอบอ่านงานในทุกบันทึกของคุณ ..คนใจดี..ขอบคุณค่ะ..เขียนให้อ่านอีกนะค่ะ จะติดตามอ่านต่อไป :-))

ขอบคุณมากๆนะคะ แสดงว่ารอบๆ ตัวคุณ Bright Lily มีคนใจดีอยู่มาก ๆ เหมือนกับที่คุณ Bright Lily ที่ได้ใจดีให้กำลังใจมาอีกครั้งนะคะ หากเชื่อในชาติภพ จิตของเราในครั้งหนึ่งอาจเคยหมุนเวียนเปลี่ยนภพและคุ้นเคยกันมาก็เป็นได้นะคะ  ยินดีมากๆค่ะ

ขอให้วันนี้และทุกๆ วันเป็นวันที่ดีนะคะ

คนใจดี

ขอบคุณคุณสุชาติ์มณี คุณนิรันตะรา ดร. จันทวรรณ และทุก ๆ ท่าน ด้วยค่ะสำหรับกำลังใจในรูปแบบต่าง ๆ ยินดีน้อมรับทุกคำแนะนำ และมิตรภาพที่ดีนะคะ หากผิดพลาดตกหล่นกับการสื่อสารกับท่านใดไปบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ยังไม่รู้จักระบบใน gotoknow นักเลยค่ะ ใช้เวลาอยู่พอควรว่าจะตอบกลับทุกท่านอย่างไร

ขอบคุณอีกครั้งนะคะ

 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท