ข้อปฏิบัติในการใช้ยาโดยเภสัชกรสมชัย วงศ์ทางประเสริฐ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)


ใช้ยาให้ถูกต้องเพื่อสุขภาพที่ดีได้ตลอดไป


" ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันคนไทยมีการเข้าถึงยาและใช้ยากันมากขึ้น บางคนถึงกับกินยาต่างอาหาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องกินยาหลายขนานร่วมกัน และจะเห็นได้ว่าปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยค่าใช้จ่ายด้านยาคิดเป็นเกือบร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าถึง 200,000 ล้านบาทค่ายาประมาณ 100,000 ล้านบาท นับเป็นมูลค่ามหาศาลและมากกว่าที่ควรจะเป็นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และความไม่รู้ของประชาชนอยู่อีกมาก

ด้วยตระหนักถึงผลกระทบของปัญหาการใช้ยาดังกล่าว ในงานประชุมวิชาการและประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นวาระครบ100 ปี วิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาล และเป็นปีที่สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ก่อตั้งมาครบ 24 ปี จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบทบาทวิชาชีพของ
เภสัชกรโรงพยาบาล ในการเป็นผู้ให้ข้อมูลและความรู้ด้านยาแก่ประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้มีการใช้ยาอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยจัดขึ้นที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ซอยศูนย์วิจัย เมื่อเร็ว ๆ นี้


สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้มีการนำเสนอผลการวิจัยเรื่องยาเหลือใช้ ซึ่งทำการศึกษาจากข้อมูลการจ่ายยาในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 4 โรค คือ
ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หืด และปอดอุดกั้นเรื้อรัง กว่า 57,916 ราย พบว่า ผู้ป่วยกว่าร้อยละ 60 มียาเหลือใช้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4% และประมาณการว่ามูลค่ายาเหลือใช้ทั้งประเทศมีประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถลดปัญหานี้ได้หากมีความตระหนักและจัดการอย่างเหมาะสม และยังได้มีการนำเสนอการศึกษาเกี่ยวกับ “ความรู้เรื่องยา” ในผู้ป่วยโรคเรื้อรังครอบคลุมโรงพยาบาลทุกระดับทั่วประเทศ จำนวน 3,136 ราย ซึ่งพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังขาดความรู้เรื่องยา โดยร้อยละ 50 ไม่รู้จักชื่อยาที่ตนเองใช้ และมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่อ่านฉลาก ก่อนการใช้ยา

ดังนั้น เพื่อลดอันตรายและผลข้างเคียงจากการใช้ยา ผู้ใช้ยาควรปฏิบัติ ดังนี้

-  ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดทุกครั้งก่อนใช้ยา เพราะการไม่อ่านฉลากยา

   และใช้ยาผิด อาจทำให้เกิดการแพ้ยาอย่างรุนแรงและอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

- ไม่ควรใช้ยาของคนอื่น

-  ผู้ที่มียาเหลือใช้อยู่ในบ้านต้องระมัดระวังและจัดเก็บให้ดี เพราะถือเป็นความเสี่ยงใกล้ตัว

   ถ้าเก็บไม่ถูกวิธีจะกลายเป็นยาเสีย หากมีคนนำไปใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ


-  หากมียาเหลือใช้ที่ยังไม่หมดอายุและอยู่ในสภาพดี ควรเก็บอยู่ในซองยา หรือขวดยาเดิม

 ไว้ในที่เดียวกัน และให้พ้นมือเด็ก หรือเก็บในตู้ยา หรือกระเป๋ายาให้พ้นแสงแดด ไม่อยู่ในที่ชื้น


-  อย่าเก็บยาในตู้เย็นยกเว้นยาที่มีฉลากระบุไว้

-  อย่านำยาเหลือใช้มารวมในซองยา หรือขวดยาเดียวกัน

-  อย่าแกะยาออกจากแผงหากยังไม่ใช้

- ย่านำยาเหลือใช้ไปให้คนอื่นใช้ และอย่ากินยาที่คนอื่นให้มา เพราะอาการที่คล้ายกัน

  อาจไม่ได้เกิดจากโรคเดียวกัน ขนาดยาก็อาจไม่เหมาะสม และอาจเกิดอาการแพ้ยาได้อีกด้วย


-  อย่าใช้ยาที่หมดอายุ หรือยาเสื่อมสภาพ

- ยาเหลือใช้ที่หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ สีเปลี่ยนแล้วให้ทำลายก่อนทิ้ง โดยแกะฉลากที่มีชื่อผู้ป่วย

 ถ้าเป็นยาเม็ดให้ทุบทำลายและเติมน้ำเล็กน้อย ถ้าเป็นยาน้ำก็ให้เทน้ำผสมลงไป

- ส่วนยาที่เป็นครีมหรือขี้ผึ้ง ให้บีบออกจากหลอด จากนั้น นำกากชา ขี้เลื่อย เศษผัก หรือเปลือกผลไม้

 ผสมลงไปในถุงเดียวกัน ปิดปากถุงให้สนิท ก่อนนำไปทิ้ง เพื่อไม่ให้คนอื่นนำยาที่ทิ้งนั้นไปใช้ได้อีก


-  หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ให้ปรึกษาเภสัชกรทุกครั้ง


และเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากการใช้ยามากยิ่งขึ้น ทางสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ได้จัดทำ สมุดบันทึกการใช้ยาประจำตัวผู้ป่วย และ แอพพลิเคชั่น
โปรแกรมบันทึกบัตรแพ้ยาที่สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสะดวกในการบันทึกประวัติแพ้ยาได้ด้วยตนเอง และเภสัชกรผู้ประเมินอาการก็สามารถบันทึกข้อมูล ผ่านทางมือถือ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลืมบัตรแพ้ยา

นอกจากนี้ แอพพลิเคชั่น ดังกล่าวยังมีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการแพ้ยาทั้งในรูปแบบบทความและวิดีโอ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น โปรแกรมบันทึกบัตรแพ้ยาได้ทาง App store หรือ เว็บไซต์ของสมาคมฯ www.thaihp.org โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  "


ข้อมูลจาก เภสัชกรสมชัย วงศ์ทางประเสริฐ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย)

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์


( ขอบคุณข้อควรระวังการใช้ยา จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพโดย นพ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์)

การใช้ยาต้องระวังให้มากเพื่อไม่ให้เกิดผลที่ไม่ดีต่อร่างกายภายหลังได้ ไม่ว่าจะยาหรืออาหารก็ต้องระวังทั้งนั้นนะคะ กินยาไม่ถูกต้องก็ทำให้เกิดโรคอื่นๆได้อีกเช่น โรคไต ที่ทุกคนกลัวเมื่อเป็นแล้วชีวิตไม่ปกติอย่างเดิมอย่างมากๆ  ไม่ใช่เฉพาะยา อาหารที่กินแต่ละมื้อแต่ละวันการรู้เท่าไม่ถึงการณ์กินตามใจโดยเฉพาะอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่่างกาย กินเพราะนึงถึงแต่ความสนุก สนุก อิ่ม อร่อย ไม่เปลียนพฤติกรรมการกินนั้น ความเสี่ยงเกิดโรคก็มีมากเช่นกัน เมื่อเป็นโรคต่างๆ ก็ต้องกินยา หากไม่อยากกินยาไปตลอดชีวิตก็ต้องเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้ตัวเองเกิดโรคได้แล้วนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี  กานดา แสนมณี

หมายเลขบันทึก: 541845เขียนเมื่อ 9 กรกฎาคม 2013 07:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม 2013 07:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นประโยชน์มากเลยครับพี่

ขอบคุณสำหรับความรู้มากมายที่นำมาแบ่งปันจ้ะพี่ดา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท