วันนี้นำเรื่องเก่าๆ และเรื่องของ "ความเชื่อ" มาเขียน เหตุเพราะวันนี้ที่หมู่บ้านเกิดมี "รุ้ง" มาปรากฏให้เห็น จะว่าไปมันไม่ได้เกิดที่หมู่บ้านหรอกครับ มันคงเกิดไกลกว่านี้ แต่มองเห็นได้ที่หมู่บ้าน พอเห็น "รุ้ง" ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนเคยได้ยินคำโบราณที่ว่าไว้ว่า "ถ้าเห็นรุ้งอย่าชี้ เดี๋ยวนิ้วกุด" ผมก็พยายามมานั่งคิดแบบเข้าข้างคนโบราณว่า มันเพราะอะไร ทำไม เหตุใด ถึงมีการห้ามแบบนี้ คำโบราณหลายคำส่วนใหญ่มักมีเหตุและผลซ่อนเอาไว้ เช่น "อย่าเหยียบธรณีประตู เพราะเป็นที่สถิตของเทวดาประตู" หรือนานๆ ไปก็สอนง่ายๆ ว่า "บาป" แต่เจตนาจริงๆ อาจกลัวเรื่องของความไม่ปลอดภัย เพราะธรณีประตูมักจะสูงกว่าพื้นทั่วไป คำสอนเหล่านี้ผมว่ามันมีความ "สวยงามของวัฒนธรรม" มิใช่ "งมงาย" อย่างที่ใครหลายคนมักชอบว่า คำสอนที่ปนความเชื่อบ่งบอกถึงยุคสมัยของความเชื่อได้ เช่น สมัยก่อนนับถือ "ผี" ก็มักจะนำไปผูกกับเรื่องของ "ผี" ส่วนต่อมาเมื่อศาสนาพุทธเข้ามาก็นำไปผุกกับเรื่องของ "บาปกรรม" บางครั้งการที่จะบอกให้ใครเชื่อหรือทำตามในบางเรื่องไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากนำมาผสมกับความเชื่อเข้าไปก็ทำให้คนเชื่อและทำตามได้ง่ายกว่า กลับมาที่เรื่องของ "รุ้ง" ผมไปค้นเจอบางตำราก็บอกว่า "เพื่อไม่ให้ดูแต่รุ้งและอาจหกล้มได้" คงหมายถึง เดินไปชี้ไป อีกเรื่องอาจเป็นเพราะความ "ไม่รู้" ของคนสมัยก่อน ว่า "รุ้ง" เกิดจากอะไร แต่ที่แน่ๆ มันมาจากท้องฟ้า อะไรที่มาจากท้องฟ้าถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมาจากสวรรค์ ดังนั้น ต้องให้ความเคารพ ไม่ควรไปชี้สุ่มสี่สุ่มห้า เพราะการชี้นิ้วของคนไทยภาพอาจไม่ค่อยเป็นบวกเท่าไหร่ เราจึงมักเห็นคำว่า "ชี้นิ้วสั่ง" "ชี้หน้าด่า...." เป็นต้น การที่คนสมัยก่อน "ไม่รู้" กับการเชื่อและทำในสิ่งที่ "ดี" นั้น สำหรับผมไม่ถือว่า "งมงาย" ไม่อย่างนั้นวันข้างหน้าอาจมีคนคิดว่าคนรุ่นเรา "งมงาย" กับความเชื่อบางอย่างที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้วขณะนี้ ดังนั้น จงให้เกียรติและเคารพความเขื่อของบรรพบุรุษดีกว่าครับ ส่วนใครหาเหตุและผลของ "การชี้รุ้ง" ได้ลองช่วยกันคิดและหาคำตอบต่อไปครับ
ไม่มีความเห็น