มุมมองของท่านพระพุทธทาส ถ้าจะให้ธรรมะครองโลก
ก็ต้องจัดการศึกษาใหม่ |
ถ้าเด็ก ๆ
มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยธรรมะอย่างนี้ ก็เรียกว่าเรามีการศึกษาอย่างใหม่
อันใหม่ที่ตรงกันข้ามจากที่กำลังเป็นอยู่ แต่ถ้าว่ากันโดยเนื้อแท้แล้ว
ไม่มีธรรมะอะไรเลยธรรมะนั้นไม่รู้จักใหม่ไม่รู้จักเก่าเป็นของอย่างนั้นเอง
นี้ละเลยกันเสียนาน
จนกลายเป็นเหมือนกับว่าเป็นของใหม่อย่างนี้เป็นต้น สำหรับจำใช้ไปสังเกตต่อไปว่าถ้าไม่มีการบังคับกิเลสแล้ว เป็นไม่ใช่การศึกษา
จะระดับอนุบาลก็ดี ประถมก็ดีมัธยมก็ดี วิทยาลัยก็ดี มหาวิทยาลัยก็ดี
หรือจะมีอะไรที่สูงไปกว่านั้นก็ตาม ถ้าไม่มีการบังคับกิเลสแล้ว นั่นไม่ใช่การศึกษา
เป็นอุบายอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อการได้ทำตามกิเลสของคนเหล่านั้น
นี้คือการศึกษาใหม่
สำหรับยุคที่กำลังจะพินาศ จะต้องศึกษาให้มันตรงกันข้ามจากที่กำลังเป็นอยู่
หรือก้าวไป ไม่ตามกันวัตถุนิยม ทำให้มีหิริโอตตัปปะ และธรรมะอื่น ๆ ที่จำเป็น
ที่โลกจะต้องมี
สำหรับหิริและโอตัปปะนี้
จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับที่จะต้องมีในโลก โลกอยู่ได้เพราะธรรมนี้
ไม่ใช่อยู่ได้เพราะกฎหมาย เพราะอาชญาหรือเพราะการหลอก การลวง การจ้าง การอะไรกัน
อย่างอื่นนั้นมันเป็นเรื่องหลอกลวง
เมื่อถามว่าการศึกษาคืออะไร
พวกนักการศึกษาในโลกนี้ก็ตอบไว้มากจนเวียนหัว คนหนึ่งก็ตอบอย่างหนึ่ง
ยุคหนึ่งก็ตอบอย่างหนึ่ง จนมากจนเวียนหัว
แต่ในที่สุดก็พอสรุปได้เป็นใจความสำคัญว่า
การศึกษานั้นมุ่งให้เยาวชนมีสติปัญญา
ความเฉลียวฉลาดพอที่จะดำเนินอาชีพหรือชีวิตของตนให้พ้นจากความยากลำบากไปได้
หรือให้ลึกลงไปอีกหน่อยก็ว่าเพื่อพัฒนาสัญชาตญาณง่าย ๆ เลว ๆ ต่ำ ๆนั่นให้มันดีขึ้น
เป็นสติปัญญาที่ดีขึ้นมาเอาไปใช้อะไรก็ได้
ความรู้อันนี้
สติปัญญาอันนี้เอาไปใช้เพื่อประโยชน์อะไรก็ได้ แต่ในที่สุดก็เพื่อทำมาหากิน
แล้วในที่สุดจริง ๆก็เพื่อความก้าวหน้าในทางวัตถุ
เป็นวัตถุนิยมเจริญชนิดที่ทำโลกนี้ให้พินาศ อย่างที่เห็น ๆ กันอยู่
แต่เขาก็ได้ให้คำจำกัดไว้ดีว่า "การศึกษานี้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์"
แต่แล้วก็เล็งถึงความอยู่รอดในทางวัตถุ ทางร่างกายเสียมากกว่า เขาสอนกันอย่างนั้น
โลกนี้จึงมีความรอดในทางร่างกายแล้วก็รอดมากเตลิดเปิดเปิงไป จนเป็นปัญหาอย่างอื่น
เป็นความทุกข์อย่างอื่นขึ้นมา
นี่การศึกษานี้ไม่พอ
ที่จะทำโลกนี้ให้มีสันติ ไม่ต้องไปคาดคะเนหรือว่าไปอ้างเหตุผลอะไรที่ไหน
ก็ดูเวลานี้ ซึ่งเขาก็อวดกันว่าการศึกษากำลังเจริญที่สุด
พวกที่เขาเป็นผู้จัดการศึกษากำลังอวดว่าเจริญที่สุด
พวกที่ป่าเถื่อนล้าหลังก็ไปตามเขา ว่ากำลังจะเจริญตามเขา ว่ากำลังจะเจริญตามเขา
ว่าโลกนี้มันกำลังเจริญด้วยการศึกษา
แต่ผลที่ออกมาในลักษณะที่ว่าโลกนี้กำลังยุ่งยากลำบากขึ้นกว่าแต่ก่อน ในส่วนน้อย ๆ
ย่อย ๆ นี้ก็ลำบากส่วนตัวบุคคลนี้ก็ลำบาก ส่วนประเทศนี้ก็ลำบาก
ทั้งโลกนี้ก็ลำบากยิ่งลำบากยิ่งขึ้นไม่เห็นว่าตรงไหนมันมีความลำบากน้อยลงฉะนั้นการศึกษาที่กำลังมีอยู่ก็พิสูจน์ตัวมันเองว่า
มันยังไม่ถูกแน่
เพราะว่ายิ่งนับวันยิ่งไกลต่อสันติภาพ
ที่นี้ถ้าให้พวกเราพุทธบริษัทเป็นผู้ตอบปัญหากันบ้าง
เราก็จะไม่้ตอบอย่างนั้น เพราะว่า จะตอบตามทัศนะของพุทธบริษัท มองสิ่งต่าง
ๆในสายตาของพุทธบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งมองการศึกษาตามวิธีการของพุทธบริษัทเราก็จะตอบไปในทางที่ว่า"การศึกนั้นคือการยกสถานะทางวิญญาณของคนในโลกให้สูงขึ้น"
สถานะทางวิญญาณของคนในโลกตกต่ำ
ด้วยอำนาจของโมหะ ของอวิชาของความลุ่มหลง จนเกิดกิเลสปลีกย่อยอีกมากมาย
ต้องมีการยกจิตใจ หรือวิญญาณของมนุษย์ในโลกนี้ให้สูงขึ้นคือ
อย่าให้กิเลสเหล่านั้นมาครอบงำได้ นี้คือการศึกษา ในทัศนะของพุทธบริษัท
ไม่พูดถึงร่างกาย โดยเอาร่างกายเป็นสิ่งที่ไปตามอำนาจของจิต
แล้วจิตก็เป็นไปตามอำนาจของความรู้ วิชาความรู้
สติปัญญาซึ่งจะเรียกในมี่นี้ว่าวิญญาณฉะนั้นจะเป็นการยกดวงวิญญาณของสัตว์ให้สูงขึ้น
เรื่องวัตถุนั้นเกือบจะไม่ต้องพูดถึง
เพราะมันเพ้อแล้ว แล้วยิ่งมาทำให้เรื่องทางจิตทางวิญญาณกระทบกระเทือน
หรือว่าตกต่ำเพราะทางวัตถุนั้น มันล่อลวงคนในโลกได้ดีที่สุด
เรื่องทางจิตทางวิญญาณนี้มันไม่ล่อลวงมันจึงมีอำนาจน้อย
นี้เรียกว่า
จำกัดความลงไปได้ว่า การศึกษาคือการยกสถานะของวิญญาณของคนในโลกให้มันสูงขึ้น ๆ
กิเลสครอบงำไม่ได้ ไม่หลงด้วยวัตถุ ไม่ทำลายวัตถุเปล่า ๆ
ไม่ทำลายการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่เป็นธรรมะนั้นด้วย โลกก็มีสันติ
การศึกษาก็เพื่อโลกมีสันติ ด้วยเหตุที่มนุษย์มีจิตใจสูงขึ้น ๆ
เมื่อจิตใจสูงขึ้นจริงแล้วก็ทำอะไรถูกเอง และก็ไม่ทำให้มากเกินไป
แล้วก็ไม่ทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น
เพราะความลุ่มหลงในเรื่องทางวัตถุเหล่านั้น
เดี๋ยวนี้ละเลยกันมาก
เพราะไปเป็นทาสของวัตถุนิยม พ่อต้องไปทำงานหากินนั้นถูกต้องแล้ว
แต่ถ้าแม่ทิ้งลูกไปเสียด้วย ไปหาเงินอีกเหมือนกัน
มันก็ผิดแน่เพราะว่าวิญญาณของลูกนี้มันจะถูกภูตผีปีศาจคร่าเอาไป
กลายเป็นไม่ใช่ลูกมนุษย์ แม้จะไม่ฝากไว้ที่โรงเรียน เขาก็สอนกันแต่เรื่องวัตถุนิยม
ก็ตกไปเป็นภูตผีปีศาจอีกชนิดหนึ่ง
แม้ว่าเรียนไปถึงขั้นมหาวิทยาลัยก็เป็นธาตุของวัตถุนิยม แล้วจะเป็นทาสของอื่น
ๆแทรกเข้ามาอีกมาก
ไม่เป็นมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยมนุษยธรรมที่จะทำความสงบระงับ
ฉะนั้นการศึกษานั้นคือสิ่งที่พ่อแม่จะต้องทำ
เพื่อยกระดับทางวิญญาณของทารกให้ดีขึ้น แล้วก็เป็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน
ที่วัด ที่ไหน ก็จะต้องทำ
เดี๋ยวนี้เมื่อความนิยมมันเปลี่ยนไป
แม้แต่บิดามารดาก็ยังต้องการให้สอนอย่างอื่น
ไม่ต้องการให้สอนไปในทางที่ให้มีจิตใจสูงประกอบไปด้วยธรรม เขาต้องการสอนหนังสือ
รู้หนังสือเร็ว ๆ ประกอบวิชาชีพเร็ว ๆ ไปหาเงินหาเกียรติอะไรได้เร็ว ๆ
เป็นเสียอย่างนี้ ก็เลยไม่มีการสอนเรื่องที่จำทำจิตวิญญาณให้มันสูง
มันก็ขาดไป
การศึกษาต้องเล็งถึงสิ่งดังกล่าวมานี้
ไม่ใช่ให้รู้หนังสือ การรู้หนังสือเดี๋ยวนี้เขาทำกันเก่งจนเพ้อ
จนเป็นคนฉลาดที่จะเป็นผู้ทำลายโลก เดี๋ยวนี้มีวิชาความรู้ทางหนังสือ ทางเทคโนโลยี่
ทางอะไรต่าง ๆ มากมาย จนถึงกับสามารถเป็นผู้ทำลายโลกกันได้ด้วยกันแทบทุกคน
แต่เรื่องจิต
ทางวิญญาณนั้นไม่มีก็เลยต่ำ
การศึกษาตามความหมายของพระพุทธเจ้า
เป็นการศึกษาที่ไม่ใช่ท่องบ่นอย่างในโรงเรียน
แต่เป็นการศึกษาที่จะต้องปฏิบัติอยู่ที่ กายวาจา ใจ ท่านเรียกว่าไตรศึกษา
หรือไตรสิกขา คือศึกษาสามอย่างเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา มันกระทำลงไปที่กาย วาจา
และ ใจ ให้มีลักษณะอย่างนั้น ๆ เรียกว่าศีล อย่างนั้น ๆ เรียกว่าสมาธิ อย่างนั้น ๆ
เรียกว่าปัญญา นี้คือการศึกษา แล้วก็ต้องทำอยู่ที่เนื้อที่ตัวแล้วทำตลอดเวลาด้วย
การศึกษาคืออย่างนี้
ทีนี้นักศึกษาในโลกนี้ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นักปรัชญาทางการศึกษาของโลกนี้ เขาไม่เคยคิดอย่างนี้ ไม่เคยมองอย่างนี้
มีแต่จำทำให้เด็กรู้หนังสือเร็ว ๆแล้วก็อย่างวิธีที่สนุกสนาน
ไม่ต้องเคารพครูบาอาจารย์ ต่อไปก็อาจจะนั่งไหว้ตู้ทีวี ตู้วิทยุ เป็นต้น
เพราะว่าเขากำลังจะเรียนทางวิทยุ ทางทีวี กัน โดยไม่ต้องใช้ครูบาอาจารย์ก็ได้
ในอนาคตนี่ แต่ในที่สุดมันก็ไม่มีผลทางจิตใจ มีความรู้ที่เหลือเฟือแล้วก็เฟ้อ
เฟ้อจนทำลายตัวเอง
ถ้าวิญญาณสูง
วิญญาณนั้นจะไม่ตะกละตะกลามในเรื่องกิน กาม เกียรติสามอย่างนี้เราเคยเรียกสั้น ๆ
ว่า สาม ก. สามก. คือ กิน คือกาม คือเกียรติ สาม ส.คือสะอาด สว่าง สงบ
สามคู่นี้มันเป็นข้าศึกแก่กัน เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องสาม
ก.
นี่แสดงโดยผล วิญญาณสูงก็คือพ้น หลุดจากความผูกพันในทางวิญญาณ
ไม่มีอะไรผูกพันทางวิญญาณ
หมายความว่าไม่มีความทุกข์วิญญาณถูกผูกพันนั้นคือความทุกข์ ถูกผูกพันด้วยความโลภ
ความโกรธ ความหลง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความอะไรต่าง ๆ นี้
เลยรวมอยู่ความยึดมั่นว่า ตัวกู ว่าของกู
นี่คือความผูกพันของวิญญาณ
พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้นึกถึงผู้อื่นก่อน
ไปสอบสวนดูในพุทธภาษิตทั้งหลาย
การตั้งปณิธานเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องเพื่อผู้อื่น ยิ่งกว่าเพื่อพระองค์
ฉะนั้นจึงยอมลงทุนมาก
คือบำเพ็ญบารมีเพื่อจะให้ได้แก่ผู้อื่นถ้าต้องการเพื่อตัวเองคนเดียวแล้ว
ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีมากถึงขนาดนั้น
ฉะนั้นการนึกถึงผู้อื่นนั้นแม้จะนึกตั้งแต่ที่แรกไปก็ได้
แต่เดี๋ยวนี้เราเอาเป็นว่า เรื่องของเรามันพอ พอสมควรแล้ว พอได้พักผ่อนแล้ว
ก็นึกถึงอื่นนึกถึงผู้อื่นอย่างไม่น้อยกว่านึกถึงตัว
หรือว่านึกถึงผู้อื่นยิ่งกว่าตัว หรือว่านึกถึงผู้อื่นหมดเลย
หมดเลยเรื่องของเราไม่นึกอย่างนี้ก็ทำได้
ไปลองดูเถอะไม่ตายบางทีมันจะเจริญเร็วกว่าเสียอีก
ถ้าว่านึกถึงผู้อื่นยิ่งกว่าตัวเอง
นี้ก็เป็นอุบายอันหนึ่ง เพราะว่าคนเรามันมักจะเห็นแก่ตัว นึกให้มากไว้
เผื่อมันรั่วไหลเสียบ้าง มันก็ยังจะพอดี หรือกล้านึกถึงผู้อื่นหมดเลยก็ยิ่งเก่งมาก
แต่คนเห็นแก่ตัวเขาไม่ยอม เพราะว่าเขาขี้ขลาด ที่จริงไม่ควรจะขี้ขลาด
ถ้านึกถึงผู้อื่นทั้งหมด นั่นมันมากไป แล้วมันก็ได้แก่ตัวก่อน
ก่อนที่จะไปได้กับผู้อื่น
เพราะว่าเราเป็นผู้นำ
แม้ว่าเราจะทำอย่างช่วยเขา เราก็ได้การกระทำหรือได้ผลการกระทำนั้นก่อนเสมอ
แต่ไม่ควรจะตั้งใจชนิดที่ไม่ซื่อไม่ซื่อตรงแบบนี้ ถ้าว่านึกถึงผู้อื่น
ก็ให้นึกถึงผู้อื่นจริง ๆ ที่มันจะมาหาตัวนั้นมันมาของมันเอง มาก็ได้ไม่มาก็ได้
นี่เรียกว่ามีวิญญาณสูง
เดี๋ยวนี้คนเราไม่ต้องการเป็นแต่เพียงเรื่องพูด
ต้องการเป็นเรื่องทำจริง
แล้วก็เป็นเรื่องที่ว่ามีเหตุผลแสดงอยู่ชัดเจนอย่างเรื่องวิทยาศาสตร์เพราะว่าเราไม่ชอบปรัชญา
ซึ่งเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ ไม่มีตัวมีตน และเราชอบอย่างวิธีวิทยาศาสตร์
คือมีข้อเท็จจริงที่เห็นชัดอยู่แล้วก็ทำได้จริง
ๆ เหมือนกับทำแก่วัตถุ
การศึกษาที่สูงก็คือการศึกษาที่ถูกต้อง
พอพูดว่าศึกษาเฉย ๆ มันพร่ามันต่ำก็ได้ ยิ่งอยู่ในมือของพวกวัตถุนิยมแล้ว
มันก็ต่ำมาก เมื่อการศึกษาสูง ก็ต้องมีความถูกต้องหลายประการ แสดงอยู่ในตัวมันเอง
ว่าสูงจริง
อย่างแรกที่สุดอยากจะระบุว่า
เรียนรู้แต่สิ่งที่มนุษย์ควรเรียน ที่ไม่จำเป็นที่ไม่จำเป็นแก่มนุษย์ อย่าไปเรียน
มันทำให้มาก ทำให้ยุ่งจนที่จำเป็นนั้นไม่ได้เรียน เรียนได้น้อย
เรียนได้ด้วยความยากลำบาก สิ่งที่มนุษย์ควรเรียนด้วยความจำเป็นไม่เพ้อ
นี่คือการศึกษาที่ถูกต้องหรือสูง มันถูกจุด
มีจุดหมายที่ถูกต้อง
อย่างที่สองนี่ การศึกษาสูงจริง
มันต้องด้วยประสบการณ์ หรือเรียนจากประสบการณ์แล้วก็เกิดมีประสบการณใหม่
ที่จะเป็นตัวการศึกษาจริง ๆ ขึ้นมา แต่โดยเฉพาะที่มันกำจัดความทุกข์ได้
กำจัดความโลภ ความโกรธความหลงได้ กำจัดกิเลสได้ การศึกษาที่สูง
ต้องอย่างนี้
ไม่ใช่ไปจดไว้ในตำรา ท่องตำรา ตอบตามนั้นได้แล้วก็ได้ปริญญา
เป็นเรื่องถ่ายทอดวิชาหนังสือ
อย่างที่สาม
การศึกษาที่แท้จริงไม่ต้องอยู่ที่ประกาศนียบัตร ไม่ต้องอยู่ที่เกียรติ
ไม่ต้องอยู่ที่อะไร นอกไปจากความจริง แล้วก็เป็นจริงกว่าที่คนธรรมดาเขาจะมองเห็นกัน
คือไม่มองข้ามสิ่งสูงสุดที่มีอยู่แล้ว ที่จริงการที่ไม่มีอะไรในทางวัตถุ
แต่มันมันก็สูงในทางจิตใจนั่นแหละมันสูงอยู่แล้ว
อย่างที่สี่นี้
การศึกษาที่สูงที่สุดต้องให้คนรู้จักสิ่งที่ดีที่สูง ที่มีอยู่จริงแล้วบางทีจะว่า
จะต้องมีอาบเหงื่อต่างน้ำด้วยซ้ำไป ที่มันดีจะสูง ไม่ใช่มันไปทำนิด ๆ หน่อย ๆ
แล้วได้เงินมาก ได้เกียรติมาก ได้อะไรมาก แล้วจะเรียกว่าดี ว่าสูง
ชนิดนั้นจะทำโลกให้ยุ่ง จำทำโลกให้ขาดแคลน
ให้ไม่พอยิ่งขึ้นทุกที
แต่ถ้ามีคนที่เห็นว่า
เป็นสุขด้วยการอาบเหงื่อทำขนมขายนี้มันก็จะทำโลกนี้ให้พอ คือทำโลกนี้ให้เหลือ
ให้มีสิ่งที่มนุษย์ต้องการ นั้นมันเหลือคนจะไม่ต้องแย่งงาน คนไม่ต้องสไตรค์
กรรมกรจะไม่ต้องสไตรค์ อะไรต่าง ๆ มันจะเรียบร้อยไปหมดได้
เพราะเขามีธรรมะ
เป็นเครื่องช่วย
อย่างที่ห้า
หรืออีกทีหนึ่งก็ว่า การศึกษาสูงนั้นต้องไม่แพง ต้องไม่มีที่แพง
ขอให้นึกถึงการศึกษาที่พระพุทธเจ้าท่านให้แก่เรา
เดี๋ยวนี้เราก็นึกละอายอย่างยิ่งพอนึกเรื่องนี้ ที่ว่าต้องมานั่งบนธรรมาสน์
แล้วก็ในสถานที่ที่ก่อขึ้นอย่างนี้แล้วจึงมาพูดกัน
ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านประทับตามพื้นดินสอนสาวกของท่านกลางพื้นดินเป็นส่วนใหญ่
แม้แต่ในวิหาร วิหารนั้นก็พื้นดินตามทางเดินบนขอนไม้อะไรต่าง ๆ
นี้ก็ปรากฏในหลายเรื่องหลายราว หลายสูตรที่ท่านสอนได้ ไม่ต้องการตึกมหาวิทยาลัย
ที่มันแพงมาก
แล้วจึงจะสั่งสอนกัน
นี่เราจ่ายเงินเพื่อการศึกษากันมากมาย
แล้วก็ร้องว่าไม่พอกันอยู่เสมอ เพราะเราเอามาละเลงในแม่น้ำ ไม่ได้ผลคุ้มกันเลย
เท่าไรมันก็ไม่พอ ยิ่งไปจัดตามแบบใหม่ ๆ เข้าแล้ว มันก็ยิ่งไม่พอ
แม้แต่การสร้างสถานที่ก็ไม่พอ เงินเดือนครูก็ไม่พอ อะไร ๆ มันก็ดีเกินไป
มันแพงเกินไปแต่ผลมันได้นิดเดียว ไปขยายโรงเรียน ไปเพิ่มครูให้มากขึ้น
แต่ตัวการศึกษานี้มันเลวลง เพราะว่ามันไม่ทำให้ใครมีจิตใจสูงตามแบบนี้ได้
แล้วครูก็มีจิตใจต่ำ เพราะฉะนั้นเรียนจบก็เป็นอันธพาลกัน ในบ้านในเมืองนี้มีมากขึ้น
เพราะว่าฉลาดสำหรับที่จะเป็นอันธพาล
การศึกษาแบบนี้
ถ้าจะเป็นการศึกษาที่ตามธรรมชาติมากขึ้น
แล้วคนก็มีจิตใจสะอาดสว่าง สงบ หรือว่ามีจิตใจสูงมากขึ้น ให้มีการศึกษาสวยงามหรูหรา
เล่นหัวมากขึ้น คนที่เรียนแล้วจะมีจิตใจเลวลง มีนิสัยแห่งความมักง่าย สะเพร่า สำรวย
สำอาง สำออย อะไรต่าง ๆ
มากขึ้นเพราะอุปกรณ์การศึกษาที่ว่ามันดีเกินไปการศึกษาสูงมันต้องไม่ใช้วัตถุแพง
อย่าคิดว่าไปอยู่ในบ้านเมืองที่เจริญ
เช่นเมืองนอกเมืองนาแล้วจิตใจมันจะสูง มันจะยิ่งต่ำกว่าอยู่ที่เมืองไทย
อยู่ที่เมืองไทยนี่แหละ
ถ้าอยู่ในป่าดงมันจะมีจิตใจที่สูงกว่าที่ไปอยู่ในเมืองหลวงได้ เรื่องที่มีมาแล้ว
หรือมันจะมีต่อไปอีกก็ได้
กำลังมีอยู่ก็ได้
ถ้าเราอยู่ในที่ที่ว่ามีจิตใจสูงสะอาด สว่าง สงบ
นี้มันดีกว่า นี่อยากไปสนุกสนาน อยากไปหาความอิสระในทางกิเลส
บางคนถึงกับหลอกพ่อแม่ให้สิ้นเนื้อประดาตัวก็มี
มันมีจิตใจทรามตั้งแต่ก่อนไปแล้วเอาละ ว่าเป็นผู้ดี
สอบไล่ชิงทุนได้อะไรได้ก็ตามเถอะ แต่ความเห่อเหิมทำนองนี้ไม่จัดว่าเป็นของดีไปได้
อยากมากก็เป็นของธรรมดา แต่ส่วนมากมันไม่เป็นอย่างนั้น
มันไปด้วยความทะเยอทะยาน
แล้วที่มันร้ายไปกว่านั้น ก็พอกลับมาถึง
ก็เอาของวิเศษเมืองนอกนั่นแหละมา ติดตัวมา แล้วก็มาไล่อะไรต่าง ๆ
ที่เป็นของไทยออกไป มาไล่วัฒนธรรมไทยแท้ บริสุทธิ์สะอาดออกไป
เอาวัฒนธรรมวัตถุตะวันตกมา เอาของใหม่มาไล่ของเก่าเขาของนอกโน้นมาไล่ของในออกไป
นี่ระวังให้ดี
นี่คือความทรามอย่างยิ่ง
เอาของนอกมาปรับปรุงของในให้มันดีขึ้น
นี้ถูกต้อง แต่ว่าเอาของนอกมาไล่ของในออกไป เอาของนอกใส่แทนนี้ผิดอย่างยิ่ง
อย่าไปยกเลิกของในหรือของเดิม ที่สืบ ๆ กันมาไม่รู้กี่สิบชั่วบรรพบุรุษแล้ว
อย่าไปเอาของใหม่มาลาของเก่าออกไป ขอให้ฟังให้ดีเรากำลังจะเข้าใจผิด
บางทีก็เนื่องด้วยคำพูด
ข้อนี้อยากจะขอรบกวนเวลา ให้สนใจสักหน่อย
มันมีความสำคัญมาก ความเป็นไทยของเราต้องเหลืออยู่ อิสรภาพหมดไป
ก็เหลือแต่ความเป็นสุนัขรับใช้คำนี้ได้ยินมากที่สุกในวิทยุ
อิสรภาพหมดไปแล้วก็เหลือความเป็นสุนัขรับใช้เพราะมันตรงกันข้าม
เป็นไทยกับเป็นทาส
นี้ระวังว่า อย่าเอาตะวันตกมาใส่แทนตะวันออก
ไล่ความเป็นตะวันออกวัฒนธรรมตะวันออก หรือคนไทยอย่างนี้ไปเสีย มันจะสูญความหมายเดิม
มันจะทำได้ก็เพียงว่า เอาส่วนประกอบผิว ๆ นอก ๆ นั้นมาปรับปรุงแก้ไข
ตกแต่งวิญญาณเดิม ๆ ของเราให้มันดีขึ้น ให้มันทันสมัยขึ้น
หรือให้มันเข้ากับสิ่งแวดล้อมสมัยปัจจุบันดีขึ้น
เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น
พิจารณาดูแล้ว คล้าย ๆ กับจะรับเอาระบบศึกษาตะวันตกทั้งดุ้น มาดุนวิญญาณเดิม ๆ
ของการศึกษาอย่างไทย ๆ นี้ออกไปหมด ให้ของฝรั่งนั้นมาอยู่แทน
นี้มันจะหมดความเป็นไทย แล้วจะเหลือความเป็นสุนัขรับใช้ซึ่งไม่ใช่คนแล้วที่นี้
นี่จึงกล่าวเป็นเครื่องให้สังเกตได้ง่าย ๆ
ที่นี้ว่า
เมื่อเป็นกิเลสแล้ว มันก็ทำกับมันยากแหละ เพราะว่ามันมีโฉมหน้าที่หลอกลวง
รู้เท่าทันได้ยาก สิ่งที่เรียกว่ากิเลส มันโกง มันคด ฉะนั้นต้องระวังมากกว่าธรรมดา
กิเลสหลอกให้ไปหาเหยื่อต่าง ๆ ให้เกียรติแก่กิเลส มันหาเหยื่อให้ แก่โมหะ
หาเหยื่อให้แก่ความโง่ ที่จะได้โง่หนักขึ้นไปกว่าเดิม
นั่นแหละคือกิเลสถ้ายิ่งก้าวหน้าในทางศึกษาแบบนี้ มันก็ยิ่งเพิ่มวิกฤติการณ์
คือเพิ่มความทุกข์ขึ้นมาในโลก ต้องจัดการศึกษาใหม่
ในลักษณะที่จะทำให้โลกนี้มีธรรมะมาคุ้มครองมีพระเจ้ามาคุ้มครอง
แล้วโลกนี้ก็มีสันติ
นี่อาตมาขอร้องซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
เรื่องนี้อย่าไปถือเสียว่าไม่ใช่ธุระของเรา ถ้ายังคงเป็นพุทธบริษัทอยู่เพียงใด
ยังเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เพียงใดแล้ว ก็ต้องรู้เถิดว่า
วัตถุประสงค์ของพระพุทธเจ้านั้น
ท่านต้องการให้พุทธบริษัททุกคนยอมรับรู้เรื่องของเพื่อนมนุษย์ทั่วไปหมดทั้งโลก
ทั้งสากลจักรวาล แล้วการที่เราไปนึกถึงคนเหล่านั้น
ก็ใช่ว่าจำเป็นว่าเราจะต้องสูญเสีย หรือทำลายอะไรที่เป็นประโยชน์ของเราเอง
มันทำไปได้พร้อมกัน
การที่เราจะไม่นึกถึงสัตว์ทั้งหลายนั้นแหละ
มันจะเกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นมาไม่ทันรู้ แล้วมันก็จะถูก ดึง เลี้ยว
ไปในทางกิเลสไม่ทันรู้อีกเหมือนกัน ฉะนั้นการนึกถึงผู้อื่น
ด้วยจิตใจบริสุทธิ์นี้ก็เป็นเครื่องคุ้มครองที่ดีด้วย
เป็นการบำเพ็ญกุศลที่สูงสุดพร้อมกันไป หลาย ๆ อย่างด้วย เรียกว่าประโยชน์ตนก็ได้
ประโยชน์ผู้อื่นก็ได ้ แล้วก็ช่วยกันทำโลกให้มีสันติ ตามความมุ่งหมายของพุทธประสงค์
|
สาธุครับ กำลังสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเรื่องการศึกษาที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวไว้พอดีเลยครับ
ขอบคุณมาก ๆครับ....